ヒノキ Hinoki ฮิโนกิ - ไม้สีอ่อนของญี่ปุ่น
สวัสดีครับ
วันนี้เป็นตอนพิเศษ 2 ชั่วโมง...ไม่ใช่สิ...ทำเป็นรายการทีวีไปได้
วันนี้ Hinoki SP ครับ!! (ยาวพิเศษ)
Hinoki ชื่อไม้ชนิดนี้ผมเคยพูดถึงไปแล้ว
และตอนนี้มันก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่ที่บ้านผมแล้วครับ ผมเอามาเพราะกะจะเอาไว้เป็นตัวอย่างตอน
ที่ไปหาข้อมูลเรื่องไม้และคุยกับช่างพื้นเพราะว่าผมเคยพยายามที่จะอธิบายยังไงก็ไม่ค่อยจะมีคนเข้าใจ
ว่าสีกับผิวสัมผัสของไม้แบบที่ผมชอบมันเป็นยังไง...ก็เลยทุ่มทุนสร้าง...ปรากฏว่าวันไปบางโพจริง
ไม่ได้ใช้ซะงั้นแต่ยังไงตอนคุยกับช่างปูพื้นก็ต้องใช้ล่ะครับ
สำหรับคนที่ชอบไม้สีอ่อน เจ้า ฮิโนกิ จะดึงดูดคนนั้นอย่างแน่นอน เพราะด้วยสีอ่อนแบบเฉพาะตัวที่
เตะตาต้องใจขนาดนี้ ผมเป็นคนนึงล่ะครับที่ โดนไปเต็มๆ
ใครเคยดูทีวีแชมเปี้ยนเมื่อก่อน พวกตอนที่สร้างบ้านตากอากาศ สร้างห้องอาบน้ำหรืออื่นๆ ก็คงจะ
เคยได้ยินชื่อของเจ้าไม้ชนิดนี้กันบ้างแล้ว
ไม้ Hinoki เป็นไม้ที่มีราคาสูง ไม้ Kiso Hinoki ที่เอามาใช้ปูพื้นที่เกรดสูงๆ มีราคาสูงมาก
ครับ ตีเป็นเงินไทยแล้วก็ประมาณตารางเมตรละ 10,000-17,000 บาทเลยทีเดียวครับ ยิ่งถ้าเป็น
Momo Hinoki ที่มีอายุถึง 100 ปีนี่มีราคาสูงได้ถึงประมาณ 23,000 บาทต่อตารางเมตรเลยครับ
จริงๆ แล้วเจ้าไม้ Hinoki นี่มันคืออะไรกันแน่ วันนี้เรามารู้จักมันจริงๆ กันดีกว่าครับ
ไม้ฮิโนกิได้จากต้นฮิโนกิหรือต้น ไซเพรส (Cypress) พันธุ์ญี่ปุ่นนั่นเองล่ะครับ
ชื่อในภาษาญี่ปุ่นคือ Hinoki (ヒノキ , 檜)
ชื่อสามัญคือ Japanese Cypress หรือ Hinoki Cypress
ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Chamaecyparis obtusa (คามีซิพาริส อ๊อบทูซา)
สำหรับในภาษาไทยแล้วเรียกว่า "ฮิโนกิ" ไปเลยหรือว่า "สนฮิโนกิ" ก็ได้
ฮิโนกิก็คือไซเพรสซึ่งเป็นต้นไม้จำพวกสนชนิดหนึ่ง มีลำต้นตรง สูง ไม่ผลัดใบหรือเรียกว่า
evergreen ต้นสูงได้ถึง 30-40 เมตรและโคนต้นอาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างถึงเมตรได้ ใบมี
ลักษณะเป็นข้อๆ เหมือนเกล็ดซ้อนๆ กัน
ต้นไม้ที่ใกล้เคียงกับ Hinoki มีอีกหลายชนิด เช่น
- สนซาวาระ (Sawara Cypress - Chamaecyparis pisifera) รูปร่างหน้าตา
คล้ายกันมาก เพราะอยู่ในตระกูล Chamaecyparis เหมือนกัน
- อาสึนาโรหรือฮิบะ (Asunaro / Hiba - Thujopsis dolabrata) อันนี้นี่ไม้มี
คุณสมบัติไม่แพ้ฮิโนกิเลยครับแต่สีเข้มกว่า แต่ในส่วนของคุณสมบัติทางการรักษานี่ไม่แน่ใจครับ
- สนสึกิ (Sugi หรือ Japanese Cedar - Cryptomeria japonica) สีคล้ายกับ
ฮิโนกิแต่ก็ยังเข้มกว่า เป็นไม้สนของญี่ปุ่นโดยตรงจริงๆ ไม่มีที่อื่น ที่จริงแล้วมันไม่ใช่สนซีดาร์
แต่พวกฝรั่งก็เรียกว่าเป็น Japanese Cedar คงเพราะใบมันคล้ายมั้งครับ
สนสึกิกับฮิโนกิทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นตัวที่ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากเกิดอาการแพ้ละอองเกสรครับ พอเข้า
ฤดูใบไม้ผลิปุ๊บก็คนที่แพ้ก็ต้องเตรียมตัวป้องกันตัวเองให้ดี ไปไหนมาไหนก็ต้องปิดหน้า ปิดตา ปิดปาก
หรือไม่ก็ต้องอยู่แต่ในห้องแทนที่จะออกไปสูดอากาศข้างนอก แล้วก็ออกไปเท่าที่จำเป็นครับ ไม่งั้น
จามกันกระจุย ใครแพ้มากก็อาจจะถึงกับคันตา น้ำหูน้ำตาไหลกันเลยทีเดียวเชียว
ไม้ฮิโนกิถูกใช้ทำสิ่งของต่างๆ อย่างเครื่องครัว รองเท้า ของเล่นเด็ก อ่างอาบน้ำ โครงบ้าน ไม้ปูผนัง
ไม้พื้น เป็นต้น เศษไม้ที่ได้จากการไสกบหรือขึ้เลื่อยติดไฟได้ง่ายแต่ในสภาพที่เป็นแท่งตันๆ มัน
ติดไฟไม่ง่ายนักและถึงติดไฟก็จะไม่ลุกลามเร็วนักครับ ไม้จะมียางและเจ้ายางนี้แหละครับที่ทำให้
มันมีีภูมิคุ้มกันแมลงและเชื้อราตามธรรมชาติ เคยมีการทดสอบเอาเศษไม้ไปให้ปลวกกินพบว่าปลวก
ที่กินเข้าไปตายหมดครับ และยางนี่อีกนั่นแหละที่มันมีกลิ่น เมื่อตัดสดๆ หรือถูแรงๆกลิ่นจะกระจาย
ออกมาเป็นกลิ่นหอมแบบออกเปรี้ยวครับ
นอกจากมันจะมีคุณสมบัติที่ทำให้แมลงไม่ชอบ ราไม่ขึ้นแล้ว ผมได้ยินว่าเจ้าไม้ชนิดนี้ยังทนต่อ
ความชื้นด้วยครับ และข้อสำคัญอีกอย่างที่ผมรู้มาคือมันจะไม่ผุง่ายๆ ว่ากันว่าโครงสร้างที่ใช้ไม้ฮิโนกิ
นี้จะอยูู่่ได้ถึงเป็นพันปี ปราสาทโอซาก้าและวัดโฮริวจิที่จังหวัดนาราซึ่งอายุกว่า 1300 ปีก็สร้างด้วย
ไม้ชนิดนี้ รวมถึงวัดและศาลเจ้าอีกหลายแห่งด้วยครับ
เจ้าฮิโนกิยังมีประโยชน์ในแง่ของสุขภาพอีกด้วยนะครับ น้ำมันฮิโนกิให้ผลในการรักษาอย่างมากเพราะ
มีส่วนประกอบของแร่ธาตุต่างๆ และเอสเซนเชี่ยลออยล์ จึงถูกใช้ผลิต สบู่ น้ำหอม และอื่นๆ
ปกติยางของไม้จำพวกสนจะก่อให้เกิดความระคายเคืองกับผิว แต่น้ำมันฮิโนกิกลับอ่อนโยนต่อผิวครับ
สมัยก่อนมันถูกใช้ในการรักษาอาการระคายเคืองกับผิว เพราะว่ามันมีสารที่ต้านฤทธิ์ของแบคทีเรีย
และเชื้อราได้ ถ้าสูดเอาไอระเหยเข้าไปมันก็จะทำหน้าที่เป็นยาลดอาการคัดจมูกได้ ให้ผลดีต่อระบบ
ทางเดินหายใจและยังใช้ในการรักษาโรคหืดหอบ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นบำรุงระบบประสาทได้อีกด้วย
ทำให้น้ำมันฮิโนกิถูกใช้ในพวกอโรม่าเธอราพีในการช่วยลดความเครียดครับ
ถึงตรงนี้เราก็ได้รู้จักเจ้าไม้ฮิโนกิกันไปพอสมควรแล้ว
ว่าแล้าเราก็มาดูหน้าตามันกันดีกว่า เป็นไม้ที่ผมเอามาเพื่อจะใช้เป็นตัวอย่างครับ
เป็นไม้ Kiso Hinoki ซึ่งก็ถือว่าเป็นไม้ Hinoki ที่ราคาสูงตามที่ได้บอกไว้ด้านบน..ก็จะซื้อมาทั้งที
แล้วนี่เนอะเอาให้สุดไปเลยละกัน...จริงๆ แล้วมันเป็นเขียงแต่ผมเสียดายที่จะใช้เป็นเขียงเลยเอามา
ทำโต๊ะเคลื่อนที่ซะแทน (ฮ่าๆๆ) ก็ขนาดมันกะลังดีเลย 21x42 cm วางพาดที่ขาได้พอดี....สรุปว่าก็
โดนค่าใช้จ่ายรวมค่าส่งไปราวๆ 2200 บาทได้
นี่ครับเจ้า Hinoki ที่ว่า...
ไม้มีสีน้ำตาลเหลืองอ่อนๆ อมชมพูนิดๆ สีสวยเลยทีเดียวครับ เอามือลูบไปนี่ผิวหน้าก็เนียนมือมาก
...เอ่อ นี่ไม้นะครับไม่ใช่คน แต่ในรูปที่ถ่ายได้นี่สีเหลืองมันไม่ค่อยออกมาให้เห็นเลย แล้วก็เพราะ
เป็นเขียงเค้าก็เลยใช้ไม้คนละด้านกับเวลาที่ทำไม้พื้นครับ ตอนแกะออกมาใหม่ๆ นี่กลิ่นฟุ้งเลยครับ
หอมแบบเปรี้ยวๆ ตอนแรกแค่อ่านมาก็นึกไม่ออกว่าเป็นยังไง ตอนนี้เข้าใจแล้วครับ มันไม่เหมือน
มะนาวแต่มันแบบ..มันบรรยายยากง่ะ ผมว่ากลิ่นมันเฉพาะตัวมากๆ เลย ถ้าก้มหน้าเข้าไปดมเต็มๆ
บางคนก็อาจไม่ชอบ แต่ผมชอบครับกลิ่นธรรมชาติดีแล้วถ้ามันกระจายมาในอากาศแบบจางๆ นี่
ผมว่าสดชื่นดีครับ
น้ำหนักไม้ก็ไม่มากครับทั้งๆ ที่หนาตั้ง 1 นิ้ว แต่น้ำหนักไม่เท่าไหร่ครับ นี่กลายเป็นข้อดีของไม้
ชนิดนี้ไปครับเพราะว่าไม้แข็งแรงแต่ว่ามีน้ำหนักเบา
อันนี้วางเทียบกับไม้ยางครับ สีต่างกันเยอะเหมือนกันนะครับนี่
สีเฉพาะตัวมากๆ ครับ มันไม่ได้ออกไปทางเหลืองๆ อย่างไม้สนที่เห็นๆ กันในบ้านเราหรืออย่าง
ไม้ยางคือผมไม่เคยเห็นไม้อะไรในบ้านเราที่สีแบบนี้ นี่ถ้าได้มันมาปูพื้นห้องนี่นะ 555 แค่ราคาก็
ปวดหัวแล้วครับ
เนื้อไม้มีเหลือบนิดๆ ตามเนื้อไม้ธรรมชาติ
อีกอย่าง คือลายครับ ไม้สีอ่อนแต่ว่ามีลายชัดเจน ต่างจากพวกไม้ยาง หรือสนที่ไม่ค่อยเห็นลายไม้
แต่ดูๆ ไปบางทีผมก็ว่าเหมือนเนื้อปลามากุโร่ยังไงไม่รู้
เห็นแล้วหิว ฮ่าๆๆ
สุดท้ายลูกกลมครับ เอาไว้แช่น้ำอุ่นอาบ พอเอาไปแช่ไว้สัก 10-20 นาทีแล้วกลิ่นขึ้นเลยครับ
อย่างที่บอกละครับว่าเอามาดมตรงๆ บางคนอาจไม่ค่อยชอบกลิ่นนั้นแต่พอเอาไปแช่น้ำอุ่นแล้วให้
กลิ่นมันปนขึ้นมากับไอน้ำแล้วรู้สึกสดชื่นครับ
ผมเป็นคนแพ้ง่าย...ผมไปทดสอบภูมิแพ้มาการทดสอบจะทำ 10 อย่างผมก็แพ้หมด 10 อย่างครับ
เป็นหืดหอบด้วย มาลองใช้เจ้านี่แล้ว ผมว่าเวลาที่สูดกลิ่นเข้าไปเต็มๆ นี่รู้สึกจมูกโล่งดีครับแต่ว่าผม
มาออกอาการแพ้ที่ตาแทน (ซะงั้นน่ะ) คือจะคันตา แล้วถ้าเอาน้ำที่แช่แล้วมาล้างหน้าแล้วน้ำเข้าตา
นี่ได้เรื่องเลยครับ คัน...แต่ตามตัวไม่เป็นไรครับ...ก็สรุปว่าผมต้องใช้ให้พอดีไม่มากไปไม่น้อยไป
ครับ ก็จะได้ประโยชน์คือช่วยเรื่องระบบทางเดินหายใจแต่อาการแพ้ยังไม่เกิด
แต่ว่าที่เอามานี่ผมก็ยังกลัวอยู่นิดๆ นะครับกลัวว่ามันจะไม่เหมาะกับอากาศบ้านเรากลัวไม้เสียครับ...
ถ้าเกิดมันเสียขึ้นมาละก็เสียดายแย่เลย ..ก็ต้องรอดูกันต่อไปล่ะครับ ว่ามันจะเป็นยังไง
สำหรับในไทยเราอาจจะได้ใช้ไม้ชนิดนี้กันในอนาคตก็ได้ครับ เพราะผมเคยเปิดไปเจอในเวบของ
โครงการหลวงหรือไงนี่แหละ รู้สึกว่าทางเหนือเราจะมีปลูกแล้ว เรียกชื่อทับศัพท์ญี่ปุ่นเลยว่า "สนฮิโนกิ"
วันนี้ยาวกว่าทุกทีเลย....
ก็ ขอจบการรายงานเพียงเท่านี้ครับ
1/17/2015
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment