1/12/2015

ปลาทูน่า (Maguro) หรือ มากุโร่ まぐろ


ปลาทูน่า (Maguro) หรือ มากุโร่ まぐろ
มากูโร หรือว่า ทูน่า ถือเป็นปลาที่ฮอตฮิตที่สุดอันดับหนึ่งในตระกูลปลาดิบเลยก็ว่าได้ ด้วยเนื้อสัมผัสที่เกือบจะเป็นเนื้อวัว แต่ให้รสชาติหวาน สดชื่น ชุ่มฉ่ำ ในแบบของเนื้อปลา จึงทำให้คอซูชิทั้งหลายต่างเรืยกหามากูโร มาเป็นอันดับหนึ่ง ปลาทูน่ามีหลายสายพันธุ์ ซึ่งพันธุ์ที่มีรสชาติดี ราคาสูง คือ Blue fin Tuna ญี่ปุ่นเรียก "ฮงมากูโร่" (ร้านอาหารไทยมักจะใช้ Yellow fin Tuna ซึ่งราคาถูกกว่า) ที่กว่าจะเติบโตเต็มที่ต้องใช้เวลานานหลายสิบปี ถึงจะมีขนาดยาวได้ถึง 3 เมตร (ในกรณีของ แปซิฟิก บูลฟิน) หรืออาจจะยาวถึง 4.3 เมตร ก็เป็นได้ (ในกรณีขอนอร์เทิร์น บลูฟิน) มีน้ำหนักได้ถึง 500 กิโลกรัมหรือมากกว่า ทำราคาขายในตลาดปลาของโตเกียวได้สูงถึงตัวละ 100,000 เหรียญ หรือกว่า 3 ล้านบาท ชิ้นส่วนของทูน่า หรือ มากูโร่ ที่เป็นที่นิยมในท้องตลาดคือ โทโร่ (ท้อง) ซึ่งส่วนท้องของมากูโร่นี้ยังแบ่งเป็น โอโทโร่ (ท้องส่วนหน้า) และ ชูโทโร่ (ท้องส่วนหลัง) ส่วนที่เหลือมักจะเรียกรวม ๆ กันว่า อากามิ โดยโอโทโร่ เป็นส่วนที่มีน้อยที่สุดแต่ก็อร่อยที่สุดเช่นกันเพราะมันอุดมไปด้วยเนื้อนุ่ม ๆ และไขมัน ที่ให้ทั้งความหอม นุ่มลิ้นจนแทบละลายเมื่อเข้าไปอยู่ในปาก ทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โอโทโร่จึงเป็นชิ้นส่วนที่แพงที่สุดในบรรดาชิ้นเนื้อทั้งหมดของมากูโร่ด้วย

โอโทโร่...ราชันย์แห่งซูชิ

โอโทโร่ (Otoro) คือ เนื้อส่วนท้องของปลาทูน่า หรือ Maguro ซึ่งถือว่าเป็นปลาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานในแบบปลาดิบมากที่สุด เนื้อปลาทูน่าที่เราเห็นและรับประทานโดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเนื้อแดงส่วนที่เรียกว่า อะคามิ (Akami) ซึ่งเป็นเนื้อส่วนกลางลำตัว ที่มีจำนวนมากและหาได้ง่าย แต่สำหรับส่วนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดของทูน่า คือเนื้อส่วนที่เรียกว่า โทโร่ (Toro) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ชูโทโร่ (Chutoro) และโอโทโร่ (Otoro) ชูโทโร่ คือ เนื้อส่วนที่อยู่ใกล้กับครีบของปลาทั้งด้านบนและท้องส่วนหลัง เนื้อส่วนนี้มีรสสัมผัสที่หวานนุ่มกว่าอะคามิเพราะมีไขมันคั่นสลับเนื้อปลาอยู่ตลอดทั้งชิ้น ส่วนเนื้อท้องส่วนหน้าที่เรียกกันว่าโอโทโร่นั้น จะเป็นเนื้อที่มีไขมันแทรกซึมอยู่แทบทุกอณูของเนื้อปลาจนกลายเป็นลายหินอ่อนสวยงาม

ความพิเศษของโอโทโร่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นราชันย์แห่งซูชิจึงอยู่ที่ไขมันที่แทรกตัวอยู่ตลอดชิ้นปลานี้เอง เพราะไขมันดังกล่าวจะแตกตัวออกแทบจะทันทีที่นำเนื้อปลาเข้าปาก และละลายหายไป ทิ้งไว้เพียงความหวานชุ่มฉ่ำที่คุณสัมผัสได้ทั่วทั้งปาก อีกทั้งยังอยู่ที่ความหายากของเนื้อปลาบริเวณนี้ด้วย เหตุเพราะไม่ใช่ปลาทูน่าทุกตัวจะมีเนื้อส่วนพิเศษนี้ โอโทโร่นั้นจะมีเฉพาะในปลาทูน่าที่มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งปลาทูน่าขนาดยักษ์เช่นนี้พบได้เพียงบริเวณกระแสน้ำอุ่นในทะเลลึก อย่างมหาสมุทรแปซิฟิกหรือแถบทะเลเมดิเตอเรเนียนเท่านั้น จึงทำให้สนนราคาของโอโทโร่นั้นสูงลิบลิ่วและไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่นทุกแห่งจะมีสุดยอดซูชิเช่นนี้ไว้บริการ


สุดท้ายเป็นการชำแหละมากุโร่จังง 


No comments: