10/12/2013

เรื่องๆ ดีๆ จำนวน 6 เรื่อง จาก ครูสุ/ครูสน อ๊อด Dolly ปรีชาขาว และ ฮ้ง

เรื่องแรก ด้วยรัก และ ผูกพันธ์
เรื่องที่ 2 สามี ลืมวันเกิดภรรยา จาก อ๊อด
เรื่องที่ 3 แบรดพีท จาก Dolly
เรื่องที่ 4 ชีวิตที่มีความสุข 40 ข้อ โดย ครูสุ
เรื่องที่ 5 "เครื่องสังเคราะห์ความสุข" (Joy Maker) จาก ปรีชาขาว
เรื่องที่ 6 คติจาก ช้อนยาว 1 เมตร ใน นรก และ สวรรค์ จาก ฮ้ง


09:26 Supaporn บางคน เลิกไม่ได้ นิด มือสั่น ตาขวาง หาเรื่องคนข้างเคียง
09:29 Supaporn เคน นั่นแหละ ตัวดี ถ้าวันหยุด ชงตั้งแต่บ่ายโมง พอเราตำหนิ รีบแก้ตัว ไม่ได้ยกแก้วซักหน่อย แค่ตั้งไว้ ประกอบฉาก รับวันหยุด ชิลๆ เราเลยเอาปากกาเมจิกไปขีดไว้บนระดับเหล้าที่เหลืออยู่ ถือเป็นการยืนยันว่า ไม่ได้ชงเพิ่มอีก
09:30 Sonjit คนใกล้ตัวนี่ดื้อสุดๆ พูดยังไงก็ไม่เคยฟัง
09:31 Supaporn เบื่อมาก บ่นไปก็แค่นั้น ไม่เห็นโลงศพ ( สมัยนี้ ต้องไม่เห็นบิลค่ารักษา) ไม่หลั่งน้ำตา
09:31 Supaporn วันนี้ นินทา_ัวแต่เช้า
09:32 Sonjit คนใกล้ตัวชั้นไม่กินเหล้าสูบบุหรี่แต่ไม่ยอมออกกำลังกาย
09:33 Sonjit นอนเช้าตื่นสาย
09:34 Supaporn ยังไม่เสี่ยงเท่าไหร่? นะ สน
09:34 Supaporn ชวนเค้าไปเดินทุกเย็นหลังอาหาร
09:35 Supaporn เดินไปคุยกันไป แอบเอามือเค้ามากุม สวีทจัง
09:35 Sonjit บางอย่างมันไม่สวีทเหมือนในหนังนะ อาสุ
09:36 Supaporn เราทำแบบนี้ แต่เค้ารีบแกะออก บอกอายเค้า เราบอก อายทำไม _ัว/เมียกัน
09:36 Supaporn เราไม่ได้กุมมือผัวชาวบ้านซักหน่อย จริงมั๊ย?
09:36 Sonjit ได้เดินจริงๆ ตอนอยู่เมืองนอก แคลอรี่ถูกเผาผลาญไปเยอะ
09:37 Supaporn เมืองนอก เดินแล้วไม่เหนื่อย/เหนียวตัว อากาศเย็นสบาย
09:38 Sonjit ถ้าลองเป็นสาวเอ้าะๆ หน้าจิ้มลิ้มๆ ไม่ใช่อีแก่อย่างพวกเรา ดูซิว่าจะอายเค้าไม้
09:38 Sonjit ขาแข้งจะหัก ต้องไปซื้อผ้าใบมาเปลี่ยน
09:39 Supaporn เราเอารองเท้าไปหลายแบบ ทั้งแตะ/รองเท้ากีฬา / hush puppies
09:40 Sonjit ไม่หนักกีะเป๋าหรือ
09:40 Sonjit เมืองไทยเดิน 10 นาที ผมฟีบแล้ว เหนียวตัวเหงื่อซิยๆ
09:41 Supaporn เดินแล้วเบาตรีนดี เบื่อก็เปลี่ยน เพราะเท้าโดนอับทั้งวัน มันล้า ใส่แตะออกไปแล้ว ดูแปลกแยกทันที เพิ่งรู้คนที่โน่น ใส่แต่หุ้มส้น มีเราเดินเปลือยส้นด้วย fifflob อยู่เพียงผู้เดียว
09:41 Sonjit สุ ชอบที่เธอเปรียบ 9.31 อะ มันโดน
09:42 Supaporn เคนบ่นเราตลอด เห็นขนาดกรัฝะเป๋าแล้วบ่นว่า จะไปแอบลักลอบล้างจานที่โน่นรึ?
09:42 Supaporn เบื่อมาก บ่นไปก็แค่นั้น ไม่เห็นโลงศพ( สมัยนี้ ต้องไม่เห็นบิลค่ารักษา) ไม่หลั่งน้ำตา
09:42 Supaporn ย้ำอีกหน

10:11 Aod Polatip(Wanchai) สามีลืมวันเกิดภรรยา แถมกลับบ้านดึกไปหน่อยคืนนั้น..!
ภรรยายืนคอยรับ ตะโกนถามเสียงดังลั่น "เธออยากไม่เห็นชั้นสักสองสามวันมั้ย..?"
สามีนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินข้อเสนอดีๆ แบบนั้น จึงรีบตอบรับทันที "วาววว ก็แจ๋ว อะซิ"
ปรากฎว่า วันจันทร์ผ่านไป เขาไม่เห็นเธอ วันอังคาร... วันพุธ... ก็ยังไม่เห็นเธอ วันพฤหัสฯ... พออาการบวมลดลง เขาเริ่มเห็นเธอจากมุมตาซ้าย...

10:19 dolly (ตุ๊ก) แบรด พิตต์ ได้เขียนเกี่ยวกับคู่ชีวิตของเขา แองเจลิน่า โจลี่ ได้อย่างน่าอ่านและให้ข้อคิดได้ดีมากๆ ดังนี้

เธอไม่สบาย มีความวิตกกังวลอยู่เสมอเพราะปัญหาเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว ความล้มเหลวของเธอ และเรื่องลูกๆ น้ำหนักเธอลดไป 30 ปอนด์ จนเหลือประมาณ 90 ปอนด์ ผอมมาก และร้องไห้เป็นประจำ

เธอไม่มีความสุข ปวดหัว เจ็บหน้าอก และปวดหลังอยู่เสมอ นอนไม่หลับ มักมาง่วงหลับในตอนเช้า และรู้สึกเหนื่อยง่ายมากในเวลากลางวัน

ความสัมพันธ์ของเราใกล้ถึงจุดแตกหัก ความสวยงามของเธออันตรธานไปหมด เธอมีถุงตา และไม่สนใจดูแลตัวเองเลย เธอปฏิเสธไม่รับงานแสดงใดๆทั้งสิ้น ผมสิ้นหวังในเธอและคิดว่าเราคงต้องหย่ากันในไม่ช้า

... แต่แล้วผมก็คิดขึ้นมาได้ ผมมีเธอที่เป็นหญิงที่สวยงามที่สุดในโลก เธอเป็นที่ชื่นชอบของคนกว่าครึ่งโลก และผมเป็นเพียงคนเดียวเท่าทั้นที่เธออนุญาตให้นอนและกอดเธอได้

ผมจึงเริ่มให้ดอกไม้เธอ กอดจูบ และยกย่องชมเชยเธอ ทำให้เธอเซอร์ไพรส์และดีใจทุกเวลานาที ผมให้ของขวัญเธอมากมายและมีชีวิตอยู่เพื่อเธอคนเดียว

ผมพูดยกย่องเธอในที่สาธารณะ ทำทุกอย่างที่เธอต้องการ ยกย่องให้เกียรติเธอต่อหน้าเธอและต่อหน้าเพื่อนๆของเรา คุณคงไม่เชื่อเลยว่า ตอนนี้เธอเป็นดั่งดอกไม้ที่สวยงาม

เธอรู้สึกดึขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไม่มีอาการวิตกกังวล และรักผมมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ผมไม่เคยรู้เลยว่าเธอสามารถที่จะรักผมได้ถึงขนาดนี้

และแล้วผมก็ตระหนักได้อย่างหนึ่งว่า ภรรยานั้นไม่ใช่อื่นไกล เป็นภาพสะท้อนของสามีนั่นเอง ถ้าคุณรักภรรยาอย่างสุดหัวใจ เธอก็จะรักคุณจนหมดหัวใจเช่นกัน

- แบรด พิตต์


10:29 Supaporn เขาว่ากันว่าชีวิตของคนเรานั้นสั้นนัก หลายสิ่งหลายอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป  แม้โอกาสจะผ่านมาผ่านไปหลายครั้ง  แต่การที่จะมีชีวิตที่มีความสุขนั้นเป็นโอกาสที่เราต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ให้เต็มที่

                          ว่ากันว่าคนเรานั้นเกิดมามีชีวิตอยู่ประมาณ 3 หมื่นวัน  นักปราญ์บอกว่า  หนึ่งหมื่นวันแรกนั้นมีไว้เพื่อที่จะเรียนรู้วิทยาการต่างๆเพื่อที่จะนำไปใช้ในหมื่นวันที่สอง  หมื่นวันที่สองนั้นเราต้องนำเอาความรู้ที่ได้จาการเรียนรู้ในหนึ่งหมื่นวันแรกมาประกอบสัมมาอาชีวะเพื่อที่จะเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม  และในหมื่นวันสุดท้ายเราควรที่จะเอาสิ่งที่ดีๆสิ่งที่ทำให้คนอื่นเป็นสุข มอบกลับคืนให้คนรอบข้างเรา เพื่อที่เราจะได้จากไปอย่างไม่ต้องกังวลอะไร

      กัลยาณมิตรท่านหนึ่งจากโลกตะวันตกส่งสิ่งที่ควรจะทำ 40 ข้อมาให้อ่านเพื่อที่จะมีชีวิต ที่มีความสุขมากขึ้น เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกท่านก็เลยถือโอกาสเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน  ลองทำกันดูนะครับ ทำได้แค่ไหนก้แค่นั้น  แล้วชีวิตของเราน่าจะมีความสุขมากขึ้นในปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงกันอีกครั้งแล้ว


1 เดินให้ได้วันละ 10 ถึง 30 นาทีทุกวัน เดินไปยิ้มไปด้วยนะคุณ  ทักเพื่อนบ้านไปด้วยก็ยิ่งดีใหญ่

2 หาเวลานั่งเงียบๆ สักวันละ 10 นาทีให้อยู่ในภวังค์สงบสันติโดยไม่ต้องคิดอะไรบ้าง

3 ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความหวัง พยายามตั้งความหวังที่เป็นไปได้ทุกวันและพยายามทำความหวังให้เป็นจริง

4 หาเวลาว่างฟังเพลงที่ไพเราะที่ชื่นชอบเป็นประจำ เป็นการเพิ่มความสุขทางใจที่เรียบง่าย

5 ดำเนินชีวิตอย่างเปี่ยมไปด้วยพลัง มีความหวัง และความเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเสมอ

6 เล่นกีฬาที่ชื่นชอบเพิ่มขึ้นทุกวัน การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้มีการผลิตฮอร์โมนที่ช่วยชะลอความชราได้โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อ

7 อ่านหนังสือที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้นทุกวันที่มีเวลาว่าง

8 หาเวลาว่างมองฟ้าสีคราม มองปุยเมฆสีขาวที่เคลื่อนผ่านและปล่อยให้ภวังค์ล่องลอยอย่างไม่มีขีดจำกัด

9 หัดฝันกลางวันบ้างเพราะจะทำให้เกิดจินตนาการที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น

10 พยายามรับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติและปรุงแต่งน้อยที่สุด

11 ดื่มน้ำผลไม้สด ชาเขียว น้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน แต่เล็กๆน้อยๆก็พอได้

12 ทำให้คนรอบข้างหัวเราะให้ได้อย่างน้อย 3 คนทุกวัน

13 อย่าสนใจข่าวลือที่ทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น

14 พยายามเรียนรู้จากการผิดพลาด และจำไว้เสมอว่าจะจำแค่การป้องกันการผิดพลาดซ้ำเท่านั้นโดยไม่เก็บความผิดพลากมาทำให้ชีวิตไม่สดใส

15 รับประทานอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดา และอาหารเย็นอย่างยาจก

16 อย่าอยู่แต่ในบ้าน ในห้องทำงาน ให้ออกไปสังสรรค์กับตนอื่นๆในสังคมบ้าง

17 ยิ้มให้มากขึ้น หัวเราะให้มากขึ้น

18 อย่าปล่อยให้โอกาศผ่านไป  ต้องรู้จักรอโอกาศ เมื่อโอกาศมาต้องฉวยโอกาศ และถ้าทำได้ต้องพยายามเพิ่มโอกาศให้ตัวเองเป็นประจำ

19 หาเวลากอดแสดงความรักแก่คนที่ควรกอดบ้างเป็นประจำสม่ำเสมอ

20 เพราะชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก พยายามทำชีวิตให้มีคุณค่ามากที่สุด

21 อย่าซีเรียสกับชีวิต หัดร้องเพลงสบาย......สบาย เสียบ้าง

22 ไม่จำเป็นอย่าโต้เถียงใคร และถ้าต้องโต้เถียงก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องชนะเสมอไปเช่นกัน

23 อย่าสนใจหรือจดจำอดีตมากนัก จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และมีความหวังในอนาคต

24 อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใคร เพราะแท้จริงแล้วเรากำลังแข่งขันกับตัวของเราอยู่ พยายามเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองก็พอแล้ว

25 คุณเท่านั้นที่เป็นคนรับผิดชอบในการมีความสุขของคุณไม่ใช่ใครที่ไหนเลย

26 ความคิดเป็นของคน ความสำเร็จเป็นของฟ้า ทำให้ดีที่สุด เป็นคนดีให้ถึงที่สุด และท้ายที่สุดความสุขก็จะเป็นของคุณเสมอ

27 พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกวัน เพราะจะทำให้รนู้สึกเป็นหนุ่มสาวเสมอ

28 ใครจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของเขา คุณไม่สามารถที่จะไปควบคุมบังคับความคิดของใครได้

29 จงพอใจในตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง การแต่งตัว การงาน เพราะจะทำให้คุณเกิดความมั่นใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความหวังและมีความสุข

30 ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเสมอ  ไม่ว่าเรื่องดี.........หรือเรื่องร้าย   ไม่มีอะไรที่ดำรงคงทนตลอดไป

31 อย่าลืมหาตัวช่วยไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาเจ็บป่วยหรือเวลาคับขันตัวช่วยจะมาช่วยคุณได้

32 หัดปฏิเสธสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของคุณบ้าง

33 อย่าเสียเวลาโดยไม่จำเป็นที่จะพยายามทำให้คนที่ไม่รักคุณกลับมารักคุณ สู้ให้เวลากับคนที่รักคุณและตอบแทนความรักของเขาให้เทียบเทียมกับที่เขามอบให้จะดีกว่า

34 พยายามบอกตัวเองเป็นประจำว่า.............สิ่งที่ดีๆกำลังจะมา

35 ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการให้ความช่วยเหลือแก่คนที่ต้องการความช่วยเหลือโดยไม่ต้องหวังว่าเขาจะตอบแทน เพราะความสุขจากการให้นั้นเป็นความสุขที่ง่ายมากที่จะได้รับ

36 ถ้าสามารถที่จะมีเซ็กส์ที่สดใสได้ก็มีซะนะคุณนะเพราะเซ็กส์ที่สุขสมทำให้ชีวิตยืนยาว

37 โทรหาคนในครอบครัวของคุณทุกวันที่ทำได้ บอกพวกเขาว่าคุณรักเขาและคิดถึงเขาเสมอ

38 ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคุณเสมอ การตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งที่ดีๆด่กนนอนและในตอนเช้านั้นจะทำให้สิ่งที่ดีๆในชีวิตเกิดขึ้ยกับคุณเสมอ

39 จำเฉพาะสิ่งที่ดีๆเท่านั้น.............สำคัญที่สุด

40 ถ้าคิดว่าทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้คุณมีความสุข ช่วยส่งต่อด้วย

11:15 Supaporn สมัยนี้ ไม่เหงาหรอก ขอให้มี้เงินเก็บ อยู่คนเดียวแสนสุขใจ มีที่เที่ยวที่กินออกถมไป หมั่นออกกำลัง ให้สุขภาพแข็งแรง แข้งขาเดินได้ปกติ ใครมีกิจกรรมอะไรดีๆน่าสนใจ ก็แพ็คกระเป๋าไปได้ในบัดดล

12:10 ปรีชา(ขาว) สวัสดีทุกๆคนครับ

 ยาวหน่อยแต่น่าสนใจมากครับ อ่านจบแล้ว ชีวิตอาจถึงจุดเปลี่ยนอย่างมีความหมาย ครับ
» เปิดตัว..."เครื่องสังเคราะห์ความสุข" (Joy Maker)

“บางทีความสุขอาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องตามหา
ทว่ามันคือ สิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่เรายังมองไม่เห็น”

ทุกวันนี้ที่เรายัง “ไม่มี” ความสุข เพราะเรายัง “ไม่เข้าใจ” ความสุข

ในสมองของมนุษย์ทุกคนมีสารสื่อประสาท (neurotransmitter)  อยู่ 4 ชนิด ที่เมื่อหลั่งออกมาแล้วจะทำให้เรารู้สึกมี "ความสุข" คือ...

1. โดพามีน  (dopamine)
2. เซโรโทนิน  (serotonin)
3. ออกซิโทซิน  (oxytocin)
4. เอ็นดอร์ฟิน  (endorphine)

สารแห่งความสุขทั้งสี่ตัวนี้จะทำงานร่วมกันเสมอ
โดยการทำงานของสารแต่ละตัวจะสามารถอธิบายโดยย่อ ได้ดังนี้…

1. โดพามีน (สารสำเร็จ)
จะพรั่งพรูออกมามากเมื่อเราได้รับในสิ่งที่ต้องการ และเมื่อความอยากได้รับการตอบสนอง
เช่น อยากกินชีสเค้กแล้วได้กิน  อยากได้หอมแก้มคนๆหนึ่งแล้วได้หอม อยากแข่งขันได้ที่หนึ่งแล้วทำได้สำเร็จ ฯลฯ

2. เซโรโทนิน (สารสงบ)
จะพรั่งพรูออกมามากเมื่อเรากำลังรู้สึกสงบ สบาย และผ่อนคลาย
เช่น  เมื่อเรากำลังนั่งสมาธิ  เมื่อเรากำลังนอนฟังเพลงที่ชอบ
เมื่อเรากำลังเอนกายบนโซฟาที่นุ่มสบาย ฯลฯ

3. ออกซิโทซิน (สารสัมพันธ์)
จะพรั่งพรูออกมาเมื่อเรากำลังมีความรัก เมื่อได้ยินเสียงคนรัก ได้อยู่ใกล้คนรัก
หรือได้สัมผัสคนรัก และจะหลั่งออกมามากเป็นพิเศษในแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร

ออกซิโทซินจะหลั่งออกมาทั้งในความรักแบบหนุ่มสาว แบบครอบครัว
และแบบเพื่อนที่มีความผูกพันกันมาก
โดยสารออกซิโทซินจะทำให้เรารู้สึกสบายใจ ปลอดภัย และอบอุ่น

4. เอ็นดอร์ฟิน (สารสำราญ)
จะพรั่งพรูออกมาทุกครั้งที่เรากำลังรู้สึกมีความสุข
ดังนั้นสารเอ็นดอร์ฟินจึงหลั่งออกมาพร้อมๆกับโดพามีน เซโรโทนิน
และออกซิโทซิน นอกจากนั้น
เอ็นดอร์ฟินจะหลั่งออกมามากเป็นพิเศษตอนที่เราออกกำลังกาย หัวเราะ หรือยิ้ม
และทำหน้าที่เป็นยาแก้ปวดจากธรรมชาติ (natural pain-killer/morphine from nature)

ดังนั้น เวลาเรากำลังมีความสุข เราจึงรู้สึกเจ็บปวดน้อยลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ บาดแผล ความเมื่อยล้า และความทรงจำที่ไม่ดี

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะทำอันตรายอะไรเราไม่ได้เลยในขณะที่เรากำลังมีความสุข

::::::::::::::::::

การท่องจำ ความเหมือนหรือความแตกต่างของสารแห่งความสุขทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือ การตระหนักรู้ว่าสารทั้งสี่ตัวนี้ ไม่ได้มีอยู่ในสิ่งของใดๆทั้งสิ้น
แต่มันมีอยู่อย่างเต็มล้นในสมองของเราเอง…

ในแบงค์พันไม่มีสาร dopamine
เก้าอี้ที่นุ่มที่สุดในโลก ไม่ได้ฉาบทาไปด้วยสาร serotonin
เสียงของคนที่เรารัก ไม่ได้บรรจุเอาไว้ซึ่งสาร oxytocin
และไม่มีอาหารชนิดใดในโลกนี้ที่ใส่สาร endorphine

…ความสุขทั้งหมด สมองของเราเป็นตัวสังเคราะห์ขึ้นมาเอง…
ทุกสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเรา ทำหน้าที่เพียง “กระตุ้น” สารความสุขในตัวเราให้หลั่งออกมา แต่สรรพสิ่งในตัวของมันเองไม่ได้มีสารแห่งความสุขใดๆสลักฝังมากับมัน

แบงค์พันเป็นเพียงเศษกระดาษ ที่น่ารำคาญสำหรับเศรษฐีพันล้านที่ไม่เห็นคุณค่าของเงิน

เก้าอี้ที่นุ่มที่สุดในโลกคือความเจ็บปวดทุกข์ทรมานสำหรับคนที่เป็นริดสีดวงทวารเม็ดเบ้อเริ่ม

เสียงของคนรักคือ ความโศกเศร้าอันแสนสาหัสถ้าเจ้าของเสียงได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว

และอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกก็คือยาพิษที่น่าสะพรึงกลัวถ้าผู้กินเกิดแพ้มัน

::::::::::::::::::

สรรพสิ่ง ≠ ความสุข
สรรพสิ่ง + การปรุงแต่ง = ความสุข
สิ่งต่างๆไร้ความหมายและไร้ความสุขในตัวของมันเอง
แต่ใจเราสังเคราะห์ความสุขขึ้นมาจาก...
ค่านิยม การตีความ ประสบการณ์
ความรู้สึก (เวทนา)
ความทรงจำ (สัญญา) และการปรุงแต่ง (สังขาร)

ตั้งแต่เล็กจนโตเราปล่อยให้จิตใต้สำนึกทำหน้าที่สังเคราะห์ความสุขจากสิ่งต่างๆโดยอัตโนมัติ และผลของมันก็มักไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ

การที่มนุษย์พยายามแสวงหาความสุขจากสิ่งที่ไม่มีความสุขอยู่ในตัวของมันนี่เอง ที่ทำให้มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่แม้จะดัง รวย สวย และเก่ง
แต่ก็อาจมีความทุกข์มากกว่าขอทานที่นอนห่มผ้าเช็ดตัวขาดๆอยู่ใต้สะพานลอย

ถ้าความดังให้ความสุข คงไม่มีดาราหน้าบึ้ง

ถ้าความรวยให้ความสุข คงไม่มีเศรษฐีร้องไห้

ถ้าความสวยให้ความสุข คงไม่มีคนหน้าตาดีฆ่าตัวตาย

ถ้าเนื้อคู่ให้ความสุข คงไม่มีคนทุกข์หลังแต่งงาน

::::::::::::::::::

มนุษย์ฝากสิ่งอื่นให้ช่วยสังเคราะห์ความสุขให้ ตั้งแต่...สิ่งของ เงินทอง ความโด่งดัง คำชื่นชม สภาพอากาศ การจราจร ตำแหน่ง หน้าที่ ล็อตเตอรี่ แฟน พ่อ แม่ ลูก หัวหน้า ลูกน้อง พรรคการเมือง นักการเมือง หนัง ละคร เฟซบุ๊ค เกมในเฟซบุ๊ค ฯลฯ

แต่เมื่อเรารู้สึกว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่อาจสังเคราะห์ความสุขได้อย่างที่ใจเราต้องการอีกต่อไป เราจึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เบื่อ เครียด โกรธ เซ็ง เศร้า
และหลายครั้งเราก็จะโทษโลก โทษสังคม โทษคนอื่น โทษตัวเอง โทษโชคชะตา หรือโทษกรรมที่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์

ตามกฎไตรลักษณ์ซึ่งเป็นกฎเหล็กของจักรวาล
...ไม่มีสิ่งใดเที่ยง (อนิจจัง)
...ไม่มีสิ่งใดทน (ทุกขัง)
...และไม่มีสิ่งใดแท้ (อนัตตา)

ดังนั้น เมื่อเราฝากความหวังให้สิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ และไม่ทนมาสังเคราะห์ความสุขให้
เราก็ย่อมต้องผิดหวังและรู้สึกทุกข์ใจเป็นธรรมดา

เราทำตัวประหนึ่งเศรษฐีหมื่นล้านที่ปฏิญาณตนว่าจะไม่มีความสุขจนกว่าจะแทงหวยถูก ซึ่งก็หมายความว่า เรามีความสุขพร้อมอยู่แล้วในตัวอย่างมากมายมหาศาล
เพราะตัวของเราคือ แหล่งผลิตความสุขแหล่งเดียวในจักรวาล
แต่เรากลับตั้งเงื่อนไขในการมีความสุขขึ้นมาเอง
โดยเอามันไปฝากไว้กับสิ่งของ และผู้คน ที่ไม่มีความแน่นอน…

::::::::::::::::::

ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร…
หมายความว่าเราควรจะหยุดการตามล่าฝันและสรรหาทุกอย่างแล้วนั่งนิ่งๆ เพื่อสังเคราะห์ความสุขด้วยตัวเองไปจนเหี่ยวแห้งตายใช่ไหม…
เปล่าเลย แต่มันหมายความว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เป็นใคร หรือทำอะไรอยู่
จริงๆแล้วในตัวพวกเราทุกคน “มีความสุข” ซุกซ่อนอยู่ตลอดเวลา
แต่อยู่ที่ว่าเราจะ “รู้วิธี” สังเคราะห์มันขึ้นมาเองได้หรือเปล่า ซึ่งวิธีแรกในการสังเคราะห์ความสุขคือ การเริ่ม “ขอบคุณในสิ่งที่มี”
และ “ยินดีในสิ่งที่ทิ้งได้” ไม่ใช่เอาแต่ “ทุรนทุรายไปกับสิ่งที่ขาด”
เพราะการลองมองสองข้างทางเพื่อเก็บเกี่ยวความสุข ก็ไม่ได้แปลว่า
เราจะต้องหยุดเดินดูเสียหน่อย จริงไหม??…

แต่ถ้าถามว่าในโลกนี้จะมีใครสอนวิชา “สังเคราะห์ความสุข” อย่างจริงจังให้กับเราได้บ้าง เพราะมันช่างเป็นศาสตร์ที่น่าศึกษาเสียเหลือเกิน ก็เห็นจะมีปรมาจารย์อยู่องค์หนึ่ง ท่านทรงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนาม…

“พระพุทธเจ้า”

และถ้าเราอยากพบกับท่านก็ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงอินเดียหรือเสียตังค์ซื้อเครื่องย้อนเวลา
 เพราะปรมาจารย์ท่านนี้เคยตรัสสอนลูกศิษย์เอาไว้ประโยคหนึ่งว่า..

โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ สมปสฺสติ

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา…”

Credit : ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร และเธียรธรรม ส่งต่อโดย นพ.สำเริง แหยงกระโทก(หมอ แหยง) บรรยาย"สติ สมาธิ ปัญญา พาพ้นทุกข์"

จาก ฮ้ง เรื่อง   ช้อนยาวหนึ่งเมตร มีชาวเดนมาร์คคนหนึ่งนอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน

.......... มีนางฟ้าลงมาหาเขา   ชวนไปเที่ยวสวรรค์และนรก เขาก็ตกลงใจไปด้วย

นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่ง แล้วบอกว่า   ' ถึงนรกแล้ว ' ที่นั้นเป็นห้องใหญ่ ๆ   มีโต๊ะยาวๆ บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีตอร่อยมีคุณค่าทุกประเภท

........... มีคนนั่งอยู่หลายคนนางฟ้าก็บอกว่า   ' นี่สัตว์นรก ' คนเหล่านั้น นั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก แต่ดูสิ ดูพวกเขา ตัวของเขาผอม เหลือง น่าสงสาร

.........   นางฟ้าบอกว่าที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดี   ๆได้ แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ ต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรตักอาการกินเท่านั้น
เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเอง คนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที

.............อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด   เขามีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก   พยายามตักอาหาร เท่าไรก็ไม่ถึงปาก

.......... พวกเขาจึงผอมโซเพราะอดอาหาร ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ

............... แต่ทำไม พวกเขาไม่สามารถเอาเข้ามาถึงในปากของตนเองได้ นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่งแล้ว บอกว่า ' ถึงสวรรค์แล้ว '

...........   ห้องที่สองนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ มีโต๊ะอาหารยาว ๆ อาหารประณีตหลาย ๆ  อย่างเหมือนกันกับห้องนรก

............ มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่งอยู่หลายคน   นางฟ้าบอกว่า  นี่เทวดาบนสวรรค์ '

............. แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใส อ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย แล้วดูสิว่า
พวกเขากินอาหารกันได้อย่างไร   ทั้งๆที่เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรตักอาหารเหมือนกับที่นรก

.......' เอ...ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก ?  'ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง   แข็งแรง ' พอสังเกตดูดี ๆ อ้อ!   เห็นวิธีของชาวสวรรค์

............ คือคนข้างหนึ่งของโต๊ะ   เขาตักอาหารด้วยช้อนยาว ๆ เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม

............. คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้ ก็เลยได้กินกันทุกคน   อยู่อย่างสุขสบาย

  สรุปว่า ที่นรกนั้น.....   คนคิดแต่จะได้อย่างเดียว คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง

.............. คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ   โดยไม่คิดถึงคนอื่น แต่ที่สวรรค์นั้น..... มีการช่วยเหลือกัน   มีความรักสามัคคีกัน

......................... คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน  
 
.......................... ตื่นขึ้นมาแต่ละวัน   อย่าถามว่าตัวเราจะได้อะไรจากสังคม แต่จงถามให้มากว่า   เราจะให้อะไรกับสังคมได้บ้าง

No comments: