10/26/2013

นักเขียนชาว ACC 38 39 ยุโรป...อลวนกว่าสิบปื ชื่อ พริ้มเพรา นามปากกา Rakkathy แห่ง Dek-D.com

บทนํา
มาร่วมฮาไปกับ Kathy Wolf  แคทที้หญิง ไทยอดีตนักบริหาร อลวนในยุโรปนานกว่าสิบปี .ในนามปากกา Rakkathy


Monarco



ตอนที่ 1 หญิงมั่นท่ามกลางเอเลี่ยน

สิบปีก่อนหาคนพูดอังกฤษที่นี่แถบไม่ได้เลยไอ้ที่พูดได้ก็แบบเป็นคําๆ. 
เมื่อเราหญิงมั่นนักบริหารจากกรุงเทพผู้ใช้ได้แต่ภาษาอังกฤษเป็นหลักต้องอยู่ท่ามกลางเอ
เลี่ยนหลากภาษา ช๊อคคะ. คิดดู ฝรั่งเศส.ลักแซมเบิร์ก เยอรมัน สวิสเยอรมันและอื่นๆ แล้ว
พวกท่านพูดด้วยกันทั้งกลุ่มทุกภาษาของท่านโต้ตอบกันเฉยเลย. นี่ยังดีน่ะเพื่อนเราไม่พูดอิตา
เลี่ยน. รัสเซียใส่ในกลุ่มด้วย

ครั้งหนึ่งตามสามีไปงานประชุมที่เวียนนา ตกเย็นมาทานข้าวกัน บรรดาด๊อกเตอร์ทั้งหลายเล่น
กันสาระพัดภาษาเจ้าคะ ยังดีบางท่านยังเมตตาหันมาอังกฤษกับเราบ้าง หญิงมั่นงี้กลายเป็น
เบบี้เลยท่ามกลางเอเลี่ยอัจฉริยะทั้งหลาย

เวลาช๊อปปิ้งซุปเปอร์ ไม่มีปัญหามากแค่ยืนมองของตามชั้นนานกว่าปกติเพราะอ่านไม่ออก
อาศัยรูปเป็นหลัก เมื่อก่อนสั่งเนื้อสดต้องสั่งหนึ่งกิโลแล้วกลับบ้านมาตัดแบ่งเก็บ เนื้อที่แพคมี
เหมือนกันแต่คุณภาพจะต่างจากร้านขายเนื้อ. แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีปัญหาแล้วสั่งเป็นแล้ว.อ่านได้
เยอะน่ะ ร้านอาหารก็สั่งเป็นแล้ว ไม่งั้นสุดที่รักเค้าขี้เกียจแปลจะสั่งแต่เสต็กให้ทานลูกเดียว
ปีแรกเห็นคําฝรั่งเศสสะกดคล้ายอังกฤษหรือสะกดเหมือนกัน เราก็คิดว่ารู้ล่ะความหมาย มันหา
ใช่เช่นนั้นไม่ มันเฉพาะบางคําเท่านั้นที่ความหมายเหมือนกัน
ยัง ยังไม่พอ เวลาเราเห็นป้ายเราก็ออกเสียงอังกฤษ แต่เปล่าเลยมันออกเสียงได้สองแบบคือ
แบบฝรั่งเศสและเยอรมัน. (ป้ายชื่อต่างๆมากมายมีชื่อเป็นเยอรมันแต่อยู่ในฝรั่งเศส). เมือง
เดียวกันแต่คําสะกดต่างกันเช่นเมือง Bâle เป็นภาษาฝรั่งเศส เมือง Basel ในสวิส. 
Bâle กับ Baselเป็นเมืองเดียวกัน. 
โปรดระวังตอนเดินทางข้ามประเทศในยุโรป. แล้วอย่าหวังว่า
เจ้าหน้าที่พูดอังกฤษเก่ง น้อยมากที่พูดอังกฤษได้ดีโดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส. ถ้าปัญหาใหญ่
ต้องเรียกล่ามมาแปลที่นี้ล่ะคอยหายน่ะคะเพราะล่ามอยู่ไกล
ยกตัวอย่าง dietwiller อังกฤษ-ไดเอดวีเลอร์. ฝรั่งเศส-ดีทวีแล 
Saint Louis อังกฤษ-เซนหลุยส์ ฝรั่งเศส- แซลลูวีส์ ยังงี้น่ะ
กว่าเราจะรู้ว่าบ้านเราอยู่ติดหมู่บ้านอะไร เล่นเราซะนานเลยล่ะ ทะเลาะกับสามีสุดที่รักทุกวันวัน
ละสามเวลา เขาพูดอังกฤษชัดมาก(อย่างต่ํา6ภาษา ชัดทุกภาษายอดของยอดเก่ง). แต่พ่อเจ้า
เล่นพูดอังกฤษบวกคําเอเลี่ยนป้ายชื่อต่างๆหรือคําเฉพาะของภาษานั้น. เวลาท่านสะกดให้ใน
โทรศัพท์ตอนพูดกันน่ะ. เดี๋ยวนี้ต้องถามว่าจะสะกดให้เป็นภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส ไม่งั้นงง
สุดๆ  เช่น we will go to Dietwiller.ไอ้เราก็เข้าใจแต่พอไปถึงเรามองป้ายก็ไม่เห็นไอ้ดีทวิแลเลย 
เห็นแต่ไดเอทวิลเลอร์นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆน่ะ

เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่ฝรั่งเศสและอื่นๆจะพูดอังกฤษได้บ้างแล้ว และจะได้เงินเดือนสูงกว่าและหา
งานง่ายขึ้น ทั้งนี้เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าเราเดินทาง. ติดต่องานทั่วโลกภาษาอังกฤษก็
ถือเป็นภาษาแรกในการใช้

เราเองก็เรียนภาษาฝรั่งเศสหลายปี พออ่านเขียนแบบเบบี้ได้ พูดนี่คนฟังเราไม่รู้เรื่องเราเลย
เลิกพูด. โชคดีหรือร้ายที่เรามีเพื่อนๆพูดอังกฤษเพราะพวกเขาอยากพูดอังกฤษให้คล่อง. (ส่วน
น้อยที่พูดอังกฤษได้ชัดและถูกไวยากรณ์) ลองนึกน่ะคนยุโรปยกเว้นคนอังกฤษแล้วพูด
อังกฤษโฮ้สุดยอดเอ็กแซ้นกับไวยากรณ์ปวดขมองคะ และแล้วพวกเขาก็ทําให้อังกฤษเราเสื่อม
โดยปริยายอย่างคาดไม่ถึง สุดยอด. 
ปัจจุบัน ภาษาเราน่ะ. ฝรั่งเศสพูดไม่ได้อ่านแบบเด็กอ่อน. อังกฤษยอดแย่. ไทยเริ่มเสื่อม.(ไม่มี
คนไทยแถวนี้เลย)
สุดของสุดยอดเอเลี่ยน แปลงหญิงมั่นนักบริหารกลายเป็นเบบี้

ตอนที่ 2 เฮ้ย! รบ สงครามจริงๆเหรอ

ปีแรกที่เรามาอยู่ยุโรป มีข่าวการวางระเบิดหลายครั้งในยุโรปโดยเฉพาะที่สถานนีรถไฟแมด
ดริตประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนจะเกิดเรื่องเล่านี้
ที่ตั้งหมู่บ้านที่เราอาศัยอยู่จะคล้ายๆหมู่บ้านชั้นดีในกทมเพียงแต่ไม่มีระบบซีเคียวริตี้หน้า
หมู่บ้านเหมือนในกทม จะอยู่ชายเขตต่อระหว่างสามประเทศคือฝรั่เศส เยอรมันและสวิส
ตอนเช้าวันนั้นสามีโทรจากที่ทํางาน(ในสวิส)มาถามว่าถนนหน้าบ้านที่เขามาทําสําหรับถนน
จักรยานกับคนเดินหน้าบ้านน่ะ จะขับรถเข้าบ้านได้ไหม
เราก็เปิดประตูออกไป : เฮ้ย. คนถือปืนพร้อมยิงหันมาทางเรา
ทันใดระบบมือถือพร้อมเสียงก็หายไป สามีพยายามติดต่อเรา กว่าจะจะได้พูดกันก็ผ่านไปห้า
นาที โทรศัพท์ถึงติด
เรา : มีทหารหลายคนถือปืนพร้อมยิงหลายคน มีรถจิ๊ปสั่งการ. และรถถังวิ่งไปมา 
สามี: อยู่แต่ในบ้านล๊อตประตู เดี๋ยวเขาเช๊คข่าวก่อน
เรารู้แต่ภาษาอังกฤษซึ่งใช้ที่นี่ไม่ได้เลย ต้องภาษาฝรั่งเศสเยอรมันและภาษาอื่นๆในยุโรป
สักพักสามีโทรมา: ไม่มีอะไร วันนี้เขาซ้อมรบแบบสถานที่จริงเป็นปกติ พอดีเขาลืมอ่าน
จดหมายที่ทางหมู่บ้านส่งมา ที่เมืองไทยไม่มีหรือ 

เรา: ไม่รู้เหมือนกันเพราะอยู่แต่ในกทม คิดว่าซ้อมแบบสนามปิดเท่านั้นมั้ง แต่สงสัยว่าเขาไม่
เสียดายถนนหรือเอารถถังหนักมาวิ่งแบบนี้ เสียดายถนนจัง
สามี: ไม่หรอกที่นี่เขาดูแลดีทุกเรื่องสมกับเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
เฮ้อ ใครจะคิดว่าเขาจะซ้อมรบได้เหมือนจริงขนาดนี้ แล้วใช้รถถังขนาดเล็กใหญ่แล่นไปมาและ
ทหารเยอะแยะ ตั้งท่าพร้อมยิงหลบซ่อน ใช้วิทยุติดต่อสื่อสารเหมือนในข่าวที่เราเห็นเค้ารบกัน
เลย. (ดีน่ะที่ไม่ซ้อมยิงด้วย)

วันนั้นตกใจจริงๆน่ะ คิดในใจจริงๆว่าฉันซวยขนาดมาเจอเขารบกันเหรอ เรื่องนี้ก็ผ่านมาเกือบ
สิบปีแล้ว
ตอนนี้กลายเป็นเรื่องตลกอันดับแรกของสามีเล่าในหมู่เพื่อนเรา
เออเน้อ เราเคยเป็นคนมั่นใจสูงในทุกเรื่องตอนอยู่เมืองไทยทั้งที่เคยท่องเที่ยว กลับมาเป็นคนผู้
ไม่รู้อะไรเลยที่นี่

ตอนที่ 3 อลวนกับงานบ้าน

วันแรกที่มาถึงบ้านในยุโรป จําได้ว่าเป็นวันเสาร์ทําให้ต้องรีบไปช๊อปปิ้งอาหาร (วันอาทิตย์ทุก
อย่างในยุโรปปิดจ้า ยกเว้นร้านอาหารบางร้าน) ก็ยังงงๆเหนื่อยๆกับการเดินทาง
จริงๆเราเคยมาเที่ยวยุโรปอย่างนักท่องเที่ยว แต่นี่เรามาอยู่ที่น่ีเลยทุกอย่างก็เหมือนซุปเปอร์ที่
เมืองไทยต่างกันตรงภาษาตามฉลากขวดและสินค้าต่างๆเป็นภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส ดัสซ์ ไม่มี
อังกฤษซะกะติ้ดทุกอย่างดูแปลก โดยเฉพาะผักและผลไม้ก็หน้าตาแปลกๆ ก็เลยไม่รู้จะทํา
กับข้าวอะไร(เราทําอาหารอร่อยน่ะ นี่ตามคําพูดของบรรดาเพื่อนๆทั้งหลายน่ะ) แต่แล้วอาหาร
มื้อแรกในยุโรปนี่ต้องเททิ้ง สุดยอด อดีตเคยทําอาหารให้สัมภาษณ์ในนิตรสารในไทย ต้องฉีก
ทิ้งโดยปริยาย

ทันใดนั้น คุณสามีเราก็หายไปจากสายตา คเจ้ามัวแต่มองตามชั้น เราเดินตามหาสุดที่รัก 
อนิจจามองไปทางไหนก็ไม่เห็น และแล้วเราก็เดินตามชายคนหนึ่ง(เวลาอยู่ยุโรปเราจะเห็นเขา
หน้าตาเหมือนกันหมด เหมือนฝรั่งเห็นคนเอเซียก็จะแยกไม่ออกเหมือนกัน). คิดว่าเป็นสามีแต่
พอเขาหันกลับมา ไม่ใช่!!! ตกใจมากค่ะ เฮ้ยจะทํายังไงดี คนก็ไม่พูดอังกฤษ มือถือก็ยังไม่ได้
ซื้อใหม่ เงินยูโรก็ไม่มี บัตรเครดิตก็ยังไม่ได้ทํา เงินไทยก็ยังไม่ได้โอนมา(เพิ่งมาวันแรกน่ะต้อง
รอเปิดบัญชีที่นี่ก่อน) มีดอลล่าร์เก่าอยู่นิดหน่อยแต่ในซุปเปอรที่นี่ใช้ไม่ได้(พอย้ายมานี่ เราก็
ยกเลิกทุกอย่างที่เมืองไทย อทิเช่น มือถือ บัตรเครดิตต่างๆ) บ้านอยู่ที่ไหนเบอร์โทรสุดที่รักเรา
ก็จําไม่ได้เอกสารทุกอย่างอยู่ที่บ้าน ทํายังไง ทํายังไง น้ําตาเริ่มคลอจริงๆเหมือนเด็กเลย 
สุดท้ายสามีสุดที่รักก็หาภรรยาติงต๊องจนเจอแล้วส่ายหน้า เจ้าเด็กหลงทาง เฮ้อ... รอดแล้วเรา 
วันต่อมา เราก็เริ่มสํารวจบ้าน เดินไปเดินมาหาคุณสามีไม่เจออีกแล้ว หลงจ้าหลง บ่อยมาก
หาไม่เจอต้องใช้เสียงเรียกดังๆ(เคยมีเพื่อนคนไทยมาเยี่ยมก็หาเราไม่เจอเหมือนกันน่ะ) บ้าน
โดยรวมมี10ห้องไม่รวม2ห้องอาบน้ํากับ2ห้องส้วม แล้วก็อยู่กัน2คน บ้าน2ชั้นและมีชั้นใต้ดิน
ด้วยน่ะ ยัง..ที่ดินประมาณไร่เศษๆ มีสระว่ายน้ําด้วย แรกๆมีคนมาช่วยทําความสะอาด
อาทิตย์ละครั้งๆละ3ชั่งโมงๆละ20ยูโรน่ะต้องจ่ายประกันให้เค้าด้วยน่ะ ต่อมาเราทนไม่ไหว
เพราะเขาทํางานไม่ค่อยสะอาดแล้วไม่ได้ช่วยอะไรเราได้มาก เราก็เลยเลิกจ้าง
หลังจากสํารวจ และแล้วแม่บ้านนักบริหารตัวจริงก็เกิดขึ้น ทุกอย่างต้องสะอาด เรียบง่าย 
สะดวกต่อการหาและหยิบใช้ เช่น
- เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ทุกห้องเป็นไม้โอ๊คกับไม้เชอรี่ก็ต้องลงwaxน้ําผึ้งให้เงางาม 
- แยกผ้าเช็คแห้งสีต่างๆเช็คทุกครั้งหลังการใช้ 
- อ่างล้างมีผ้าประจําทั้งหมด 
- ประตูกระจกห้องshowerต้องเช็คให้แห้ง
- เช็คกระจกและประตูกะจก ยอดเยอะเลยโดยเฉพาะห้องรับแขกมีประตูโค้งกระจกคู่ถึง5คู่ที
เดียว
- ดูดฝุ่นและถูบ้านด้วยไอน้ำ
- การแขวนเสื้อต้องหันทางเดียวกัน สีเสื้อเรียงตามโทนสีแบ่งสีไม้แขวนเฉพาะแต่ละตู้
- เสื้อผ้าสําหรับซักแยกสีแยกตระกร้า เต็มแล้วค่อยใส่เครื่องซักจะได้ประหยัดน้ําไฟ โปรดระวัง
เรื่องอุณหภูมิสําหรับผ้าที่ผสมขนสัตว์ เคยลืมหนหนึ่งเสื้อpulloverของสุดที่รักจาก
ขนาดXLกลายเป็นM
(คนที่นี่จะตากผ้าในห้องใต้ดินส่วนใหญ่จะใช้เครื่องอบผ้าเพราะเขาไม่มีพื้นที่ บังเอิญเราโชคดี
ชั้นใต้ดินของเราใหญ่มากๆ มีที่ตากผ้าได้สักประมาณห้องนอนเล็ก มีที่แยกขยะเตรียมไปทิ้ง 
จอดรถได้สามคัน มีบริเวณที่เก็บไวน์โดยเฉพาะด้วย มีที่เก็บอาหารแห้งไทย-ยุโรป มีตู้เย็น3ตู้ 
- อีก 2 ตู้อู่ชั้นหน฿่งกับชั้นสอง รวม 5 ตู้เย็น)
- รีดผ้า รีดมันทุกอย่างตั้งแต่ถุงเท้า กางเกงใน ผ้าเช็คจาน ผ้าปูที่นอน เสื้อผ้าและอื่นๆ

คุณสามี(นักวิทยาศาสตร์สุดอัจฉริยะ)ก็มีส่วนช่วยน่ะตอนกลับจากทํางานกับวันหยุดเช่น ขน
เสื้อผ้าที่รีดเสร็จข้ึนชั้นบนแล้วใส่ตู้ตามสีไม้แขวน
ช่วยเช็คจานที่ใส่เครื่องล้างไม่ได้น่ะ ช่วยเช็คกระจกต่างๆ เวลาจะมีแขกมาทานข้าวที่บ้าน. แต่
ที่สําคัญคือเป็นคนดูแลสระว่ายน้ําและตัดหญ้า (ถึงจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องทํางานบ้านน่ะ
จ๊ะ)

ส่วนสวนก็ช่วยกัน ห้าปีแรกหนักมากจ้าเอาไว้เล่าในบทอื่นนะคะ
ตอนทํางานที่กรุงเทพถึงจะมีชื่อเสียงตามนิตรสารต่างๆและเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหญิงเหล็ก แต่
เราก็ต้องทํางานใช้สมองวางแผนงานมาก ส่วนใหญ่ได้นอนพักผ่อนวันละ2-3ชั่งโมงเอง วัน
หยุดก็ไม่ค่อยได้หยุดมัวแต่ทํางาน(เพื่อนๆหายหมด) มาอยู่ที่นี่ไม่มีเจ้านายและเราก็เป็นใหญ่
ในบ้าน(ก็อยู่กันสองคนเอง) ฝรั่งนี่เขายกย่องภรรยามากไม่ว่าในบ้านหรือนอกบ้าน. จะทําอะไร
เขาจะต้องปรึกษาหารือเสมอ

ไม่รู้คิดผิดไหมที่เปลี่ยนตัวเองจากนักบริหารหน้าเครียดที่มีลูกน้องและเลขา ผันตัวเองมาเป็น
แจ๋วที่ยิ้มแย้มแจ่มใสติงต๊องมาก แต่ที่เรารู้คือเรามีเวลาให้ตัวเองเยอะได้ทําหลายอย่างที่ไม่
เคยมีเวลาทํา ได้อ่านนิยายที่เราอยากอ่าน ไม่เคยอยากไปนอกบ้านมากนัก(จนเพื่อนที่นี่ต้อง
มางัด) ยกเว้นเดินทางไกล 
มีคนพูดกันว่าถ้าบ้านเป็นสวรรค์ สมาชิกทุกคนในบ้านก็อยากกลับมาทุกวันเช่นสามีสุดที่รัก
กลับตรงเวลาทุกวัน

นี่ซิน่ะถึงจะเรียกว่าบ้าน





สวนด้านหน้าบ้านกับหลังบ้านช่วงเพิ่งเริ่มฤดูใบไม้ผลิ





ตอนที่ 4 ใบขับขี่: ศึกมหาโหด นรกหรือสวรรค์

ก่อนมาที่นี่ เราตั้งใจไว้ว่าจะซื้อจาร์กัวขับซะที(สิบปีก่อนที่ไทยหาอะไหล่ยาก เราก็เลยไม่ได้ขับ). 
เที่ยวนี้ตั้งใจเลยว่าต้องซื้อและซื้ออย่างแน่นอน. แต่แล้วฝันของเราก็สลายไปกับใบขับขี่ของที่นี่ 
ไม่มีรถขับน่ะ ตายแน่อากาศก็แสนเย็นจับขั้ว 
การมีใบขับขี่ที่นี่ทําได้สองกรณีคือสอบหรือเปลี่ยนใบขับขี่จากประเทศที่มีสัญญาระหว่าง
ประเทศ และไม่ต้องสงสัยเลยประเทศเราไม่อยู่ในสัญญานั้น
ทั้งๆที่มีใบขับขี่อินเตอร์น่ะ แต่ถ้าเราอาศัยอยู่ที่นี่ครบปีเราต้องใช้ใบขับขี่ของที่นี่ มีคนไทยหัวใส
บินกลับไทยไปต่อใบอินเตอร์ แต่ถ้าตํารวจที่นี่ตรวจบัตรresidentแล้วอยู่เกินปีและยังใช้ใบ
ขับขี่อินเตอร์ล่ะก็ ขอบอกเลยว่าโทษหนักมากๆคะ ค่าปรับที่นี่สุดโหดจริงๆเช่นถ้าไม่จอดรถให้
นิ่งสนิทที่ป้ายหยุดน่ะปรับทันทีที่500ยูโรหรือ20,000บาทไทยพร้อมทั้งตัดpointด้วย ที่นี่
ตํารวจมีเครื่องรับบัตรเครดิตสามารถปรับตรงนั้นเลยค่ะ ถ้าไม่มีเงินหรือเงินไม่พอ รอได้เลย
หมายศาลมาอย่างแน่นอน บางกรณีโดนยึดรถจนกว่าจะนําเงินมาจ่าย เคยมีลูกเศรษฐีที่นี่ขับ
เฟอรารี่เร็วมากถูกจับโดนยึดรถ เลยต้องนั่งรถไฟกลับประเทศตัวเอง เป็นไงคะประเทศที่แสน
จะศิวิไล
โชคยังดีที่นี่เขามีรถชนิดหนึ่งน้ําหนักแค่350กกบวกอีกพวกของและคนนั่งอีก200กกเท่านั้น 
ราคาประมาณ12,000ยูโรหรือ480,000บาท. ขับได้ไม่ต้องใช้ใบขับขี่คันเล็กม้าก นั่งได้
แค่2คนมีที่เก็บของเล็กๆข้างหลัง ขับได้แค่45กมต่อชั่งโมง ห้ามขับบนไฮเวน์(auto road)และ
ถนนสําหรับรถยนต์(motor road) ไม่มีแอร์มีแต่ฮีทเตอร์ เครื่องดังม้าก เด็กเล็กๆข้างบ้าน
พอได้ยินเสียงรถเลี้ยวเข้าบ้านจะเรียกว่ารถบรรทุกมาแล้วน่ะ 


แปดเดือนต่อมา รถคันแรกLigierที่สั่งก็มาถึง สั่งไปราวสี่เดือนแน่ะ ที่สั่งช้าเพราะสามีสุดที่รัก
มัวแต่ทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเกือบต้องใช้ทนายฟ้องรัฐที่นี่ ทําไมใบขับขี่เราเปลี่ยนไม่ได้ 
อ้ายเราก็ไม่รู้ตามสไตล์พวกเอเลี่ยนพูดกัน พอพี่ท่านเล่าให้ฟังเท่านั้น. เราเลยโทรถามสถาน
ฑูตไทยก่อนที่เรื่องราวจะไปกันใหญ่โต และก็อย่างที่บอกฝันสลายในบัดดล

หลังจากสามปีผ่านไป. เราได้ข่าวว่าสามารถสอบใบขับขี่โดยใช้ล่ามแปลได้ สอบข้อสอบย่อย
และสอบขับจริง. โฮ้ยดีใจสุดจะกล่าว เพื่อนเราท่านด๊อก(ดร.)ทั้งหลายก็ช่วยกันหาล่ามแปล
ไทยในเวปที่อยู่ใกล้เราที่สุด ตอนแรกเพื่อนเราหาให้เป็นคนเวียดนามพูดไทย เราก็เลยคุยกับ
เขาทางโทรศัพท์ ขอบอกเลยว่าท่านพูดไทยแบบเป็นคําๆช้าม้ากคงแปลในห้องสอบไม่ได้แน่ 
สําเนียงสุดแย่ของแย่เลย สุดท้ายโชคดีเจอคนไทยจบกฎหมายไทยมีบัตรเป็นล่ามแปลสําหรับ
ศาลที่นี่ ใจดีมากแต่ท่านงานเยอะมากและก็เป็นนักเดินทางตัวยงเลย เห็นว่าไปมาร้อยกว่า
ประเทศแล้ว และบ้านท่านก็อยู่ไกลมากจากบ้านเรา

ก่อนจะไปจองที่นั่งสอบเราต้องเตรียมตัวและเรียนกับล่ามก่อน เหตุที่ต้องเรียนเพราะคําที่ใช้
แปลทางการไม่เหมือนคําที่เราใช้เช่น ไฟใหญ่เขาใช้คําว่าไฟส่วนเป็นต้น และก็ซ้อมทําข้อสอบ
ภาษาฝรั่งเศสกับท่านแปลเป็นไทยให้มีเรียนคํานวนวิธีคิดระยะทางด้วยน่ะ 
การไปเรียน เริ่มด้วยการตื่นแต่หกโมงเช้าเตรียมอาหารกลางวันไปทานบ้านล่าม ขับLigierไป
จอดที่สถานนีรถไฟค่าจอดรถทั้งวันเกือบๆ20ยูโรหรือ800บาท ซื้อตั่วรถไฟชั้นหนึ่งไปกลับ
ประมาณ35ยูโรหรือ1400บาท(ต้องเปลี่ยนรถไฟด้วยถึงจะถึงบ้านท่าน). แล้วเรียนแค่หนึ่ง
ชั่วโมงแล้วก็กลับกว่าจะถึงบ้านก็6โมงเย็นพอดี ส่วนค่าเรียนจําไม่ได้แน่คงราวๆ200ยูโรมั้ง
ต่อกี่ชั่วโมงก็ลืมแล้วคะ. อ้อแล้วเราต้องจ่ายค่าเดินทางไปกลับพร้อมค่าแปลวันสอบและค่าที่
นั่งเข้าสอบด้วย ซึ่งก็จําไม่ได้อีกเช่นกัน ช่วงเดินทางไปเรียนเจอปัญหาเยอะ ไหนจะพนักงานรถ
ไฟสไตร์ รถไฟดีเลย์ เราก็ยืนคอยแล้วคอยเล่า เขาประกาศแต่ไม่เข้าใจ จนท่านล่ามโทรมาบ
อกก็เลยต้องกลับบ้านไปเรียนไม่ได้ บางครั้งขากลับบ้านบนรถไฟตํารวจนอกเครื่องแบบก็ชอบ
ขอตรวจบัตรแล้วเขาก็พูดอังกฤษไม่ได้มาก ยังจะมาถามอีกว่ามาทําไม. เลยต้องเอาเอกสารที่
ตัวเองเป็นเจ้าของบ้านร่วมกับสามีให้ดู เจ็บใจจริงๆเรามันเป็นคนเอเซียมันก็สงสัยว่าเป็นพวก
ไม่มีใบอนุญาตให้อาศัยอยู่ ดีน่ะเรารอบคอบเตรียมสําเนาไว้หลายอย่าง ทําอะไรเราไม่ได้อยู่
แล้ว. สามารถตรวจสอบได้ทุกเรื่อง ท่านล่ามบอกว่าเราสุดยอดโชคร้ายเจอแต่ปัญหาจริงๆ
หลังจากเรียนได้สักสี่อาทิตย์(อาทิตย์ละสองหรือสามครั้งมั้ง) เราต้องบินไปไทย ท่านบอกว่าไม่
ต้องกังวลเรื่องสอบ ยังไงก็ยังไม่ได้ที่นั่งสอบ ให้เราไปเที่ยวแบบสบายใจไม่ต้องเอาข้อสอบไป
ซ้อมตอนอยู่ที่ไทย เราก็เชื่อท่าน ลืมหมดสิ้นที่เรียนมา กลับถึงบ้านท่านโทรมา ว่าให้มาสอบอีก
สองวันเจอกันที่สถานีรถไฟ ท่านจะพาไป เป็นไงล่ะไม่ได้เตรียมอะไรเพิ่งกลับถึง ยังเจ๊ทแลทอยู่
เลย โอเคปลอบใจตัวเองว่าไปดูสนามสอบก่อนแล้วกัน ไว้สอบคราวหน้าเราสอบผ่านชัวร์...... 
ในสนามสอบ มีจอยักษ์ข้างหน้าเรา ท่านล่ามทั้งหลายหลากภาษาท่านต้องนั่งหันเข้ากําแพงไม่
เห็นจอภาพ ผู้เข้าสอบได้รับรีโหมดคนละอัน. พอข้อสอบขึ้นจอพร้อมรูปภาพและคําถามพร้อม
คําตอบเราต้องตอบให้ถูกต้องไม่ใช่ถูกแค่ข้อเดียว. อาจถูกสองหรือสามข้อ ถ้าตอบไม่หมดก็
คือผิด การสอบผ่านต้องผิดไม่เกิน5ข้อเท่านั้น ทั้งหมดสี่สิบข้อ เจ้าหน้าที่จะอ่านเป็นภาษา
ฝรั่งเศส. หลังจากนั้นล่ามก็จะเริ่มแปลอาจจะเริ่มจากภาษาอาระบิค ไทย อิตาเลียน รัสเซีย
เป็นต้น การที่ล่ามไม่เห็นรูปภาพบนจอทําให้บางข้อการแปลไม่สื่อกับคําตอบ เพราะฉนั้นคนที่
อ่านฝรั่งเศสไม่ได้เลยก็ต้องมั่วตอบเองน่ะจ๊ะ มันส์มั้ยล่ะ

แต่สิ่งที่ทําให้งงก็คือ ผู้เข้าสอบมี15คนสอบผ่านแค่คนเดียวเธอมาสอบเป็นครั้งที่5 ใช้เวลา
เกือบ3ปี เธอร้องไห้ประมาณนางงามนะคะแต่เสียงดังมากๆ ส่วนคนอื่นๆที่ไม่ผ่านก็ร้องไห้เป็น
วรรคเป็นเวร ท่านล่ามบอกว่าคนไทยบางคนสอบกว่าสามสิบครั้งยังไม่ผ่าน เราก็สอบครั้งแรก
ไม่ผ่านด้วยเหมือนกัน นี่มันอะไรกัน เรางี้งงสุดงงนี่เราคิดว่า สอบครั้งหน้าจะผ่านหรือ ทําไมมัน
มหาโหดงี้ นรกชัดๆ

ต่อมาท่านล่ามไม่มีเวลาให้เพราะท่านต้องเดินทางราวสองเดือน แต่พอท่านกลับมาเราจะต้อง
เข้าสอบ ทําไงล่ะคร่าวนี้ไม่มีคนแปล นี่เลย...สุดที่รักอัจฉริยะของเรา ท่านก็ช่วยเต็มที่ เราไปหา
ซื้อหนังสือข้อสอบเก่าประมาณสองร้อยชุดมานั่งทํา. สามีท่านก็แปลเป็นอังกฤษให้เรา ทําให้
เราได้อ่านและเข้าใจภาษาฝรั่งเศสไปในตัว ทุกวันก่อนทานข้าวเย็นทําข้อสอบหนึ่งชั่วโมงวัดผล
ทุกวัน. ผลออกมาก็ดีสมกับความตั้งอกตั้งใจทั้งครูและนักเรียน

ในที่สุด วันสอบครั้งที่สองก็มาถึง โชคดีของเรามีล่ามไทยคนหนึ่งแล้วยังมีล่ามอังกฤษอีกหนึ่ง
เราเลยสบายได้ฟังสองภาษา. ตอนประกาศผลเราก็ไม่รู้ว่าเราผ่านเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ท่านล่าม
หันมาบอกว่าเราผ่านคนเดียวเหมือนกัน ที่เหลือก็ร้องไห้อีกแล้ว ทําเรารู้สึกผิดที่ดันสอบผ่านคน
เดียว. เราเองก็น้ําตาไหลไม่มีเสียงร้องน่ะ งงน่ะทําไมมันไหลเอง ความรู้สึกเหมือนยกภูเขา
ออกจากอกกับความกดดันหลายๆอย่าง โทรบอกสามีว่าสอบผ่าน เขาก็ยินดีกับเราแล้วบอกว่า
รถใหม่ของเรามาถึงแล้ว นี่โชคสองชั้นน่ะ สุดที่รักบอกว่าจะขับให้นั่งก่อนพอได้ใบขับขี่จริงแล้ว
ค่อยขับ

รถใหม่ อย่างที่บอกเราอยากได้จาร์กัว แต่หลังจากฝันสลายเมื่อสามปีก่อน เราก็รู้ว่าเราชอบ
เดินทางมากๆ เราเลยตัดสินใจซื้อรถ BMW. X3 เราสั่งซื้อตั้งเริ่มไปเรียนกับล่ามโดยที่ไม่รู้ว่า
เมื่อไรจะได้ใบขับขี่แน่ะ


สองอาทิตย์ต่อมา. เริ่มเรียนขับรถแบบถูกต้องตามกฎบังคับ. ได้สามีเป็นล่ามนั่งอยู่หลังรถ
คอยแปลให้ เราต้องเรียนตอนเที่ยงหนึ่งชั่วโมงเพราะสามีพักเวลานั้นท่านเอาแซนวิชมานั่ง
ทานในรถ. ครูท่านก็ใจดีมากแซกเวลาให้ตอนพักเที่ยง จริงๆไม่มีคิวให้เรียนเลย. การขับไม่มี
ปัญหาสําหรับเราอยู่แล้ว. แต่ขับให้ถูกกฎทุกข้อเพื่อสอบผ่านน่ะมันคนละเรื่องเช่น. ที่นี่เวลา
คนข้ามถนนยืนอยู่อีกฟากของถนนตรงทางม้าลายเราต้องหยุดทันทีแล้วรอให้เดินข้าม. เชื่อ
ไหมแค่ขับครึ่งชั่วโมง ครูบอกว่าเหมือนเราวิ่งมาราทอน มันเกร็งไปหมด เหงื่อเต็มหลังเลยทั้งๆ
ที่อากาศหนาวมากชั่วนั้น กลับบ้านหมดแรงเลยล่ะ. โหดจริงๆ อ้อค่าเรียนขับนี่ก็จําไม่ได้
เหมือนกันมันนานมากแล้ว

ที่สุดของที่สุด. การสอบขับก็มาถึงในเดือนธันวา. การสอบแบ่งเป็นสองส่วนคือขับจริงกับ
ปฏิบัติการชี้สิ่งต่างๆตามคําสั่งเช่นเปิดที่ปัดน้ําฝนหรือเปิดฝากระโปรงรถแล้วชี้แบตเตอรี่ หรือ
เช็คที่วัดน้ํามันเครื่องอะไรประมาณนี้ ส่วนแรกสอบผ่านฉลุยอยู่แล้วได้Aทุกข้อ ส่วนที่สองตอบ
ไม่ได้เพราะไม่รู้ภาษาเขาให้Bคือข้อนี้ต่ําสุดคือB. และถ้าส่วนแรกได้Aเต็มทุกข้อก็คือผ่าน. แต่
เราไม่รู้วันนั้นหรอกต้องรอเขาส่งเอกสารมาที่บ้าน. เหตุมันเคยเกิดคือพอประกาศว่าไม่ผ่าน 
เจ้าหน้าที่ก็โดนทําร้าย ดังนั้นต้องรอ
สุดท้ายเอกสารมาถึงบ้าน อ่านไม่ออกเปิด dic ก็แล้วก็ไม่เข้าใจ แต่คิดว่าผ่านเพราะมันวงที่สี
เขียวไม่ได้วงที่สีแดง เพื่อนสวิสก็อ่านฝรั่งเศสไม่ได้ แต่เอาแชมเปญมาฉลองที่บ้านเรา เราโทร
บอกสุดที่รัก เขาก็บอกเพื่อนเขา ทุกคนขําว่าเราฉลองทั้งที่ยังไม่รู้ว่าผ่านไหม. และแล้วสามีสุด
ที่รักก็เปิดแชมเปญอีกขวดหนึ่งฉลองให้กับความสําเร็จ. 
ใบขับขี่ใบนี้มีค่ามากมายในความรู้สึก ค่าใช้จ่ายสูงมากกว่าทําใบขับขี่ที่ไทยหลายเท่านัก ใช้
เวลาทั้งสิ้นเกือบปีค่ะ ถือว่าโชคดีมากแล้วถ้าเทียบกับคนอื่นหลายคน. และเพราะเราสามารถ
ผ่านได้ในเวลาอันสั้นสําหรับคนที่นี่ ทําให้เพื่อนต่างชาติหลายคนใช้เราเป็นแรงบันดาลใจให้
สอบผ่านได้เช่นกัน
เย้.... ผ่านศึกมหาโหด นรกและสวรรค์ในเวลาเกือบปี

ตอนที่ 5 สถานบันสุดหรูของคนพิการ Luxembourg

สถาบันคนพิการประเทศ Luxembourgนี้ได้ริเริ่มก่อตั้งโดย Mr. Marcel Wolf ผู้ซึ่งล่วงลับไปเมื่อ
เดือนกรกฏาคมปีนี้ เป็นบุคคลที่ทํางาน เพื่อสถาบันนี้จนกระทั่งเกษียรอายุ ถึงกับมีกฏหมายบาง
ฉบับออกโดยใช้ชื่อของท่านด้วย ก่อนหน้าการก่อตั้ง ลูกสาวของท่านต้องประสบโชคร้ายเมื่อ
อายุแค่ 4ขวบและได้รับเชื้อโรคชนิดหนึ่งระบาดช่วงนั้น ในขณะที่ร่างกายอ่อนแอโดยโรคหวัด
ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคนั้น ทําให้สูญเสียการพัฒนาการทางสมอง จนกลายเป็นบุคคลพิการ ท่านได้เดินทางไปทั่วยุโรปเพื่อหาหมอรักษาแต่มิสามารถรักษาได้

คนสมัยก่อนในยุโรปจะอับอายมากที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นคนพิการ เค้ามักเอาคนพิการแอบซ้อน
อยู่ในบ้านเท่านั้นไม่ให้ใครพบเห็น และอีกสาเหตุหนึ่งคือรัฐจะดูแลคนพิการที่ไร้พ่อแม่เฉพาะเด็กๆ
เท่านั้น หลังจากเด็กโตจะต้องออกจากสถานที่นั้น โดยคนเหล่านี้ต้องไปอยู่ในสถานที่หรือโรงพยาบาล
โรคจิตซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด
ดังนั้นท่านจึงได้รวบรวมเหล่าพ่อแม่ของคนพิการในขณะนั้นมาร่วมมือกัน โดยท่านได้ยื่นขอที่ดินรกร้าง
แห่งหนึ่ง(รูปที่นํามาลงสถานที่อยู่ในที่ดินนั้น)กับเพื่อนของท่าน เมื่อมีที่ดินสิ่งต้องการลําดับต่อมาคือ
เงิน ท่านได้นําเงินทั้งหมดจากมรดกจากคุณพ่อท่านมาลงร่วมกับบรรดาพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้น หลัง
จากนั้นก็เริ่มก่อสร้างและหาเงินเพิ่มโดยจัดงานแสดงคอนเสริตเชิญนักร้องชื่อดังหลายคนในยุโรปมา
แสดงฟรี

ณ วันเปิดสถานบันก็มี พวกราชวงศ์มาเป็นประธานรวมถึงนายกรัฐมนตรี นับเป็นสถานบันคนพิการ
แห่งแรกในประเทศลักแซมเบิร์กที่มีระดับเดียวกับสแกนดิเนเวีย และเพื่อให้สมบูรณ์ที่สุดก็ต้องให้สถาน
บันนี้อยู่ในความดูแลของรัฐบาล เพราะพ่อแม่ของทุกคนคงไม่อยู่ยืนยาว 
ปัจจุบันสถานบันนี้ได้อยู่ในความดูแลของรัฐบาล โดยรัฐจ่ายให้คนพิการหนึ่งคนมีรายได้เดือนละ
ประมาณ 6000ยูโรหรือ 240,000บาท จริงๆคนพิการไม่ได้ใช้เงินเองเลย แต่รายได้พวกนี้จะถูกนํามา
ดําเนินการเช่นจ้างเจ้าหน้าที่ทํางาน, เครื่องใช้อุปกรณ์ต่างๆ, ก่อสร้าง,อาหาร, ยา เป็นต้น 

ลองดูจากรูปแล้วกัน ที่ถ่ายมาแค่สองตึก ตึกหนึ่งเป็นบ้านพักที่มีคนพิการอยู่แค่ 16 คนเท่านั้น ภายใน
ทันสมัยมากๆ เก้าอี้ห้องนั่งเล่นเป็นไฟฟ้า โต๊ะอาหารปูพลาสติกใสมีรูปของคนพิการที่ต้องนั่งประจําที่
มีลิฟที่ทันสมัยมากๆ ห้องนอนพักคนเดียวมีห้องน้ําในตัว ตึกบ้านพักแต่ละหลังจะมีเจ้าหน้าที่ดูแล 24 
ชม.ประมาณ 5 คนต่อคนพิการ 16 คน





อีกตึกจะเป็นโรงอาหารใหญ่ จริงๆยังมีเช่นโรงซักผ้า โรงเพาะปลูก สวนสัตว์ เป็นต้น ส่วนใหญ่คนพิการ
เป็นคนทํางานกันเองที่ทําได้ และมีคนปกติพร้อมเจ้าหน้าที่ต่างๆดูแลและร่วมทํางานด้วยกัน
ล่าสุดรัฐบาลยกcastleหลังหนึ่งให้สถาบันนี้อีก กําลังอยู่ระหว่างปรับปรุง
วันนี้เขียนแบบมีสาระนะคะ 

Lasagne ลาซานย่า



No comments: