11/11/2012

วัดโลกโมฬี ตำนานสุริโยทัย เชียงใหม่


Posted by oishi-1 , ผู้อ่าน : 4598 , 21:27:53 น.   ข้อมูลจาก oknation.net

Taxi Chiangmai 081 617 2116 พงศ์ศักดิ์ มีทั้งราคาเหมาวัน ครึ่งวัน

วัดโลกโมฬี

ประวัติวัดโลกโมฬี

วัดโลกโมฬีสร้างขึ้นในสมัยใดนั้นยังหาหลักฐานได้ไม่แน่ชัดแต่จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในตำนานวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ (ฉบับพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔) มีความว่า " เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๐ พระเจ้ากือนาธรรมิกราช กษัตริย์ล้านนารัชกาลที่ ๖ แห่งราชวงศ์เม็งรายและรัชกาลที่ ๓๑ หากนับแต่พระเจ้าลวจังกราช เป็นต้นมา พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม และมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระมหาอุทุมพรบุปผมหาสวามีเจ้า เมืองมติมา(เมืองเมาะตะมะ) จึงใช้ให้ราชบุรุษไปอัญเชิญพระมหาเถระเจ้ามาสืบศาสนาในล้านนาไทย แต่พระมหาเถระทรงชราภาพ จึงให้พระอนันทะเถระและพระเถระที่เป็นศิษย์อีก ๑๐ รูป มายังนครเชียงใหม่และจำพรรษาอยู่ที่วัดโลก" และการที่พระเจ้ากือนา นำพระเถระที่พระองค์เคารพศรัทธาและเป็นแขกต่างเมืองไปพักจำพรรษาที่วัดโลก วัดนั้นจะต้องเป็นวัดที่เหมาะสมใหญ่โต เป็นสัปปายะสถานเป็นแน่แท้.

สถานที่ตั้ง

วัดโลกโมฬี ตั้งอยู่ตำบลศรีศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ด้านทิศเหนือนอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ตามประวัติแล้วชื่อของวัดปรากฏในสมัยของพระเจ้ากือนา ทรงโปรดให้คณะสงฆ์ของพระมหาอุทุมพรบุปผา มหาสวามี จำนวน 10 รูป จำพรรษาอยู่ที่วัดโลก สมัยพระเมืองแก้วในปี พ.ศ.2070 โปรดให้สร้างวิหารและมหาเจดีย์ ในปี พ.ศ.2088 พระเมืองเกษเกล้าถูกปลงพระชนม์ ได้นำอัฐิมาบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดโลกนี้ ต่อมาในปี พ.ศ.2121 พระนางวิสุทธิเทวี ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ทิวงคต ได้ทำการถวายพระเพลิงและบรรจุอัฐิไว้ในเจดีย์วัดโลกนี้โบราณสถานแห่งนี้ประกอบด้วย ฐานอุโบสถและเจดีย์ ลักษณะเจดีย์มีขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ชั้น ถัดขึ้นไปเป็น ฐานปัทม์มีลูกแก้วคาด เส้น เรือนธาตุตั้งอยู่ในผังสี่เหลี่ยมยกเก็จด้านละ ครั้ง แต่ละด้านมีซุ้มจรนัมประดิษฐานพระพุทธรูป มุมเรือนธาตุมีเทวดาปูนปั้นประดับ มุมละ องค์ เหนือเรือนธาตุเป็นชั้นบัวถลายกเก็จซ้อนลดหลั่นกันรองรับองค์ระฆังกลม ปล้องไฉนและปลียอด วัดแห่งนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19ส่วนรูปแบบทางสถาปัตยกรรมองค์เจดีย์มีอายุในช่วง พุทธศตวรรษที่ 21


  
ประวัติความเป็นมา

     วัดโลกโมฬี ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา พบว่าเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในเมืองเชียงใหม่      สร้างขึ้นเมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่ได้ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ      (พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2514) พบว่าเมือปี พ.ศ. 1910 พระเจ้ากือนาธรรมมิกราช กษัตริย์ล้านนารัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ ์มังรายจนถึงรัชกาลที่ 31 นับตั้งแต่พระเจ้าลวจังกราช เป็นต้นมา   พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาและทรงเลื่อมใสในพระมหาอุทุมพรบุปผมหาสวามี      เจ้าเมืองมติมา (เมืองเมาะตะมะ) พระองค์ทรงให้ราชบุรุษไปอัญเชิญพระมหาเถระเจ้ามาสืบศาสนา ในล้านนาไทย     แต่พระมหาเถระทรงชราภาพมาก จึงให้พระอนันทะเถระและพระเถระที่เป็นศิษย์อีก 10     รูป มาสืบทอดพระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนาซึ่งคณะสงฆ์เหล่านั้นได้จำพรรษาที่วัดโลกโมฬี      อันเป็นสถานที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2070 พญาเมือง เกศเกล้าได้ถวายบ้านหัวเวียงให้เป็นอารามวัดโมฬี และใน พ.ศ.     2071 ได้ทรงให้สร้างมหาเจดีย์และวิหารโลกโมฬี ต่อมาเมื่อพญาเกศเกล้าถูกลอบปลงพระชนม์  เมื่อปี พ.ศ. 2088 เหล่าข้าราชการ ขุนนาง ได้ทำพิธีที่วัดแสนนอก นำพระบรมอัฐิมาบรรจุไว้ที่วัดโลกโมฬีนอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ด้านเหนือของพระอาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงประจำพระองค์ จากนั้นเสนาอมาตย์จึงได้ทูลเชิญพระนางจิรประภา ราชธิดาขึ้นครองราชย์ บางตำนานให้ความเห็นว่า พระนางจิรประภา น่าจะเป็นพระมเหสีของพญาเมืองเกศเกล้า  เพราะมีบันทึกชื่อของพระนางว่า "พระนางจิรประภามหาเทวี" ซึ่งก็น่าจะเป็นชื่อของพระองค์ในสมัยพระนางจิรประภามหาเทวี  ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2088 - 2089 อันเป็นช่วงที่เหล่าขุนนางเรืองอำนาจ ทำให้เมืองเชียงใหม่อ่อนแอ  เป็นเหตุให้สมเด็จพระไชยราชาธิราช กษัตริย์อยุธยายกทัพมาหมาย จะตีเมืองเชียงใหม่ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระนางจิรประภา มหาเทวี จึงรักษาเอกราชไว้ได้ ด้วยการแต่งเครื่องบรรณาการไปถวายขอเป็นมิตร พร้อมทูลเชิญ พระไชยราชาธิราชเสด็จมาทำบุญที่กู่พญาเมืองเกศเกล้าที่วัดโลกโมฬี  และยังพระราชทานทรัพย์สร้างกู่พญาเมืองเกศเกล้าใหม่ ด้วย 5000 เงิน กับผ้าทรง 1ผืนให้สมพระราชเกียรติ ในรัชสมัยของพระนางวิสุทธิราชเทวี กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์มังรายได้ทรงทำนุบำรุงในพระศาสนาอีกครั้ง ทรงเลื่อมใสในพระสังฆราชโลกโมฬีเจ้า จวบจนพระนางเสด็จทิวงคต พ.ศ. 2121 ได้มีการถวายพระเพลิงพระนางวิสุทธิราชเทวีและบรรจุพระอัฐิไว้ในบริเวณพระอาราม หลวงวัดโลกโมฬี   หลังจากนั้นเมืองเชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2122 เป็นต้นมารวมระยะเวลานานกว่า  200 ปี ช่วงนั้นวัดวาอารามต่าง ๆ ถูกเผา ทำลายแต่วัดโลกโมฬีไม่ได้ถูกเผา เนื่องจากกษัตริย์เมืองเชียงใหม่     พระเจ้ามังทรานรมัยคุย ( ราชบุตรของพระเจ้าบุเรงนองครองราชย์ พ.ศ. 2122 - 2150      )ได้ทรงเมตตาธรรมพระมหาสมเด็จ วัดโลกโมฬีไว้กับวัดวิสุทธาราม และเป็นวัดสำคัญในพระราชสำนักมาโดยตลอด   จวบจนถึงสมัยของพระเจ้าสุทโธธรรมราชา พ.ศ. 2182 ได้ทรงมีพระราชศรัทธาถวายทานอันยิ่งใหญ่ให้วัดทุกวัดเป็นราชฐานทำบุญเดือนยี่เป็งบูชาพระพุทธรูป พระธาตุเจ้า พระภิกษุสามเณร และสมเด็จพระสังฆราชโลกโมฬี เป็นประจำทุกปีถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่สำคัญในช่วงเวลานั้นแต่เดิมเมื่อปี   พ.ศ. 2440 วัดโลกโมฬีตั้งอยู่แขวงบ้านทับม่าน แคว้นเจ็ดยอด เจ้าอธิการ ชื่อ ตุ๊พวก นิกายเชียงใหม่ รองอธิการ ชื่อ ตุ๊คำ มีโฉนดออกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2482 ผืนที่ 1 มีเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 28 ตารางวา ผืนที่ 2กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดโลกโมฬีถูกทิ้งให้ร้าง  จนถึงปี พ.ศ. 2502 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดโลกโมฬีเป็นโบราณสถานแห่งชาติ     



  สิ่งที่น่าสนใจ

   

 เจดีย์วัดโลกโมฬี มีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนว่า เจดีย์ของวัดโลกโมฬีในปัจจุบันเป็นเจดีย์ที่สร้างปลายพุทธศตวรรษที่ 21 ตำนานระบุว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระเมืองเกศเกล้า เมื่อ พ.ศ. 2071

 เป็นเจดีย์ทรงปราสาท ได้มีการพัฒนาการอย่างต่อเนื่องที่เจดีย์วัดโลกโมฬี  การพัฒนารูปแบบได้เพิ่มความสูงของเจดีย์คือ ส่วนฐานได้แก่ชุดฐานปัทม์ ลูกแก้ว อกไก่ เพิ่มเป็น ๒ ชุดอย่างชัดเจนโดยฐานปัทม์ชั้นล่างไม่มียกเก็จ ที่ฐานปัทม์ชั้นที่สองมีจำนวนยกเก็จที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นมุมที่มีขนาดเล็ก  ส่วนกลาง ยังคงเป็นเรือนธาตุในผ้าสี่เหลี่ยมยกเก็จ ที่มีขนาดของมุมเล็กลง และจำนวนของมุมมากขึ้นเช่นเดียวกับฐานปัทม์ด้านล่าง ทั้งสี่ด้านของเรือนธาตุมีซุ้มจระนำ มีรูปแบบของซุ้มลดได้ กรอบซุ้มจระนำมีการผสมผสานกันทั้งกรอบแบบคดโค้ง และกรอบแบบวงโค้ง ตลอดจนแนวของลูกแก้ว อกไก่ที่ประดับเสารับซุ้มจระนำ ก็มีขนาดเด่นขึ้นกลายเป็นรูปงอนคล้ายบัวคว่ำที่เรียกกันว่า ปากแล  ส่วนยอด เหนือเรือนธาตุ มีการพัฒนาความสูงโดยเพิ่มจำนวนของชั้นลดรูปฐานปัทม์ลูกแก้ว      อกไก่ ยกเก็จซ้อนกันสามฐาน รับทรงระฆังและบัลลังก์สิบสองเหลี่ยม ปล้องไฉนและปลี  ซึ่งองค์ระฆังและบัลลังนั้น เป็นลักษณะร่วมของเจดีย์ทรงระฆัง ปี พ.ศ. 2544 คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่มีมติให้พระญาณสมโพธิ เจ้าอาวาสวัดดอยสุเทพราชวรวิหารเป็นประธานในการก่อสร้างและฟื้นฟูวัดโลกโมฬีให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษา  โดยมี ดร. ดวงคำ อภิวัฑฒโน เป็นหัวหน้าสงฆ์ทำหน้าที่ดูแลรักษาตลอดมาและมีการเททองหล่อพระพุทธสันติจิรบโลกนาถพร้อมทั้งวางศิลากฤษ์พระวิหาร กระทั่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 กรมการศาสนาได้อนุมัติให้ยกฐานะวัดโลกโมฬีจากวัดร้างให้เป็นพระอารามที่ถูกต้องตามกฎหมาย  และได้แต่งตั้งให้พระญาณสมโพธิเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ปี พ.ศ. 2545 ได้มีการเททองรูปเหมือนพระนางจิริประภามหาเทวี  และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เศียรพระประธานในวิหารวัดโลกโมฬี สำหรับผู้สนใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่และต้องการเข้าไปสัมผัสกลิ่นไอแห่งพุทธศาสนาที่วัดโลกโมฬี

วัดพระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน

ลำพูน จังหวัดเล็กๆ ในภาคเหนือที่เรื่องราวของประวัติศาสตร์ไม่ได้เล็กตามพื้นที่ แต่กลับยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในดินแดนล้านนา เดิมลำพูนมีชื่อว่า "นครหริภุญไชย" สร้างขึ้นราว พ.ศ.1200 โดยฤาษีวาสุเทพได้เกณฑ์พวกเมงคบุตร หรือละว้า ล่องเรือลงมาจากต้นแม่น้ำปิง เพื่อสร้างเมืองใหม่ ครั้นเมื่อสร้างเสร็จได้อัญเชิญพระนางจามเทวี พระธิดาแห่งเมืองละโว้มาปกครองเมืองเป็นพระองค์แรก จากนั้นนครหริภุญไชยก็มีกษัตริย์ครองเมืองสืบต่อมาอีกหลายพระองค์ยาวนานกว่า 600 ปี ก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรล้านนา และต่อมาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอีกกว่า 200 ปีจนมาถึงสมัยกรุงธนบุรี เจ้ากาวิละได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าตากสินมหาราชขับไล่พม่าสำเร็จ จนได้ครองเมืองเชียงใหม่ แล้วให้เจ้าคำฟั่น น้องชายครองเมืองลำพูน ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองลำพูนมีฐานะเป็นเมืองขึ้น มีเจ้าผู้ครองนครสืบต่อกันมา จนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 จึงได้มีการยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร และยกฐานะเป็นจังหวัดลำพูนจนถึงปัจจุบันลำพูนในปัจจุบันมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในเชิงศิลปวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก มีแหล่งท่องเที่ยวทั้งวัดวาอาราม เจดีย์เก่าแก่ ศิลปะล้านนาแท้ที่มีลวดลายอันวิจิตรงดงาม อีกทั้งงานหัตถกรรมที่สั่งสมกันมาอย่างยาวนานจนเป็นสินค้าขึ้นชื่อ อย่างผ้าไหมยกดอก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งปลูกลำไย กระเทียม แหล่งใหญ่ของภาคเหนือ ส่วนด้านอุตสาหกรรม ลำพูนนับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ เป็นศูนย์กลางของภาคเหนือตอนบน และมีนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่

ทางเลือกใน ลำพูน, ประเทศไทย
จังหวัดลำพูนมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายรูปแบบ ทั้งวัดวาอาราม โบราณสถาน แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น วัดพระธาตุหริภุญไชย วัดจามเทวี วัดมหาวัน อุทยานแห่งชาติแม่ปิง เขื่อนภูมิพล เป็นต้น

แท็กฃี่จากเชียงใหม่ โทร 081 617 2116 พงศ์ศักดิ์ คิดราคาเป็นกันเอง แล้วแต่โปรแกรมการท่องเที่ยว แต่ขอแนะนำ ไหว้  3 พระธาตุสุดยอดของล้านนา นั่นคือ 
วัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง 
วัดพระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน
วัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่
ทั้ง 3 ทีคิดราคา 3000 บาทพร้อมคนขับที่ชำนาญทาง และ มีอัธยาศัย รวมค่าน้ำมันเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะคนปีชงในปีต่างๆ

Posted by oishi-1 , ผู้อ่าน : 2701 , 22:11:39 น.   oknation.net


 
ประวัติวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร

ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน มีถนนล้อมรอบสี่ด้าน คือ ถนนอัฎฐารสทางทิศเหนือ ถนนชัยมงคลทางทิศใต้ ถนนรอบเมืองทางทิศตะวันออก และถนนอินทยงยศทางทิศตะวันตก ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 150 เมตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1651 ในสมัยพระเจ้าอาทิตยราช ภายในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัยยังมีสิ่งที่น่าสนใจคือ ซุ้มประตู ก่อนเข้าไปในบริเวณวัด จะผ่านซุ้มประตูฝีมือโบราณสมัยศรีวิชัย ก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายวิจิตรพิสดาร ประกอบด้วยซุ้มยอดเป็นชั้นๆ เบื้องหน้าซุ้มประตูมีสิงห์ใหญ่คู่หนึ่งยืนเป็นสง่าบนแท่นสูงประมาณ 1 เมตร สิงห์คู่นี้ปั้นขึ้นในสมัยพระเจ้าอาทิตยราชเมื่อทรงพระราชให้เป็นสังฆาราม

            วิหารหลวง เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าไปแล้ว จะเห็นวิหารหลังใหญ่เรียกว่า วิหารหลวง” เป็นวิหารหลังใหญ่มีพระระเบียงรอบด้าน และมีมุขออกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นวิหารที่สร้างขึ้นใหม่แทนวิหารหลังเก่า ซึ่งถูกพายุพัดพังทลายไปเมื่อ พ.ศ. 2458 วิหารหลวงใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศล และประกอบศาสนกิจทุกวันพระ ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธปฏิมาใหญ่ 3 องค์ก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทองบนแท่นแก้วและยังมีพระพุทธปฏิมาหล่อโลหะขนาดกลางสมัยเชียงแสนชั้นต้นและชั้นกลางอีกหลายองค์

 “เมื่อ พญามังราย ตีเมืองหริภุญชัยได้ โปรดให้ซ่อมแซมดัดแปลงองค์พระธาตุขึ้นใหม่ การปฏิสังขรณ์ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทรวดทรง ขององค์พระธาตุฯ จากทรงปราสาทกลายเป็นทรงเจดีย์ฐานกลมแบบทรงลังกา




   พระบรมธาตุหริภุญชัย

ตั้งอยู่หลังวิหารหลวง ประดิษฐานพระเกศธาตุบรรจุในโกศทองคำ เจดีย์ประกอบด้วยฐานปัทม์ แบบฐานบัวลูกแก้วย่อเก็จ ต่อจากฐานบัวลูกแก้วเป็นฐานเขียงกลมสามชั้น ตั้งรับองค์ระฆังกลม บัลลังก์ย่อเหลี่ยม เจดีย์มีลักษณะใกล้เคียงกับพระธาตุดอยสุเทพที่จังหวัดเชียงใหม่ มีสัตถบัญชร (ระเบียงหอก ซึ่งเป็นรั้วเหล็กและทองเหลือง) 2 ชั้น สำเภาทองประดิษฐานอยู่ประจำรั้วชั้นนอกทั้งทิศเหนือและทิศใต้ มีซุ้มกุมภัณฑ์ และฉัตรประจำสี่มุม หอคอยประจำทุกด้านรวม 4 หอ บรรจุพระพุทธรูปนั่งทุกหอ นอกจากนี้ยังมีโคมประทีป และแท่นบูชาก่อประจำไว้เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป พระบรมธาตุนี้นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งในล้านนามาตั้งแต่สมัยโบราณ

ประวัติองค์พระธาตุก่อนเป็นองค์ปัจุบัน

พระบรมธาตุหริภุญชัย เป็นโบราณสถานอันสำคัญของนครหริภุญชัยที่ พระเจ้าอาทิตยราช เป็นผู้สถาปนาขึ้นในราว พุทธศตวรรษที่ ๑๗ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อันมี ธาตุกระหม่อม ธาตุกระดูกอก ธาตุกระดูกนิ้วมือ และธาตุย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง ตามพุทธทำนายลักษณะทางสถาปัตยกรรมขององค์พระธาตุหริภุญชัย ตามที่ปรากฏในหนังสือตำนานพระธาตุหริภุญชัย กล่าวว่า มีลักษณะ เป็นสถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาท ที่มีซุ้มทวาร เข้า- ออกทะลุกันได้ทั้งสี่ด้าน มีปราสาทสี่เหลี่ยมอยู่ตรงมุมละองค์ก่อด้วยศิลาแลงซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมากอยู่ในเมืองนี้ ภายในเป็นแท่น สำหรับประดิษฐาน พระโกศที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในสมัยของพญาสรรพสิทธิ์ กษัตริย์แห่งราชวงศ์จามเทวีวงศ์ ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์เจดีย์เดิมที่พญาอาทิตยราชทรงสร้างไว้และได้ขุดร่องทวารประตูเข้า-ออก ทั้งสี่เพื่อความปลอดภัย รูปทรงสันฐานขององค์พระบรมธาตุยังคงเป็นลักษณะเดิม คือ เป็นทรงปราสาทสี่เหลี่ยมที่กว้างใหญ่และสูง

เมื่อ พญามังราย ตีเมืองหริภุญชัยได้ โปรดให้ซ่อมแซมดัดแปลงองค์พระธาตุขึ้นใหม่ การปฏิสังขรณ์ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทรวดทรง ขององค์พระธาตุฯ จากทรงปราสาทกลายเป็นทรงเจดีย์ฐานกลมแบบทรงลังกา ในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมาประมาณปี พ.ศ. ๑๙๕๑ โปรดให้มีการปิดทององค์พระธาตุ พ.ศ. ๑๙๙๐ พระเจ้าติโลกราชกษัตริย์องค์สำคัญแห่งเมืองเชียงใหม่ ทรงร่วมกับพระมหาเมธังกรเถระ ก่อพระมหาเจดีย์ให้สูงขึ้นเป็น ๙๒ ศอก กว้างยาวขึ้น ๕๒ ศอก เป็นรูปร่างที่เห็นเป็นอยู่ในปัจจุบัน

วัดพระธาตุลำปางหลวง


วัดพระธาตุลำปางหลวง
วัดพระธาตุลำปางหลวง
ลำปาง
วันเปิดทำการ:
ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 08.00 - 16.30
ข้อมูลการติดต่อ :
หมวดหมู่ : วัด
รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว :
ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา  เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ ตามตำนานกล่าวว่ามีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี  ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย งดงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมายได้แก่
 - พระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู ด้วยเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลูเช่นกัน ฐานเป็นบัวลูกแก้ว ส่วนองค์เป็นทรงกลมแบบล้านนาภายนอกบุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่าง ๆ ลักษณะเจดีย์แบบนี้ได้ส่งอิทธิพลต่อพระธาตุหริภุญไชย และพระบรมธาตุจอมทอง ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระเกศา และพระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง ที่รั้วทองเหลืองรอบองค์พระธาตุมีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศปรากฏอยู่
วิหารหลวง วิหารขนาดใหญ่ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2019 โดยเจ้าหมื่นคำเป๊ก ภายในมีซุ้มปราสาททองเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ บนแผงไม้คอสองมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่งดงามเรื่องทศชาติและพรหมจักร
วิหารพระพุทธ ไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง แต่ประมาณอายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี เดิมเป็นวิหารเปิดโล่งหน้าบันเป็นลายดอกไม้ติดกระจกสี ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่เต็มอาคารก่ออิฐถือปูน ศิลปะเชียงแสน และยังปรากฏเงาพระธาตุภายในวิหารอีกด้วย
 เมื่อหันหน้าเข้าหาวิหารหลวง ด้านขวามือ คือ วิหารน้ำแต้ม หรือวิหารภาพเขียนสี (“แต้ม” แปลว่า ภาพเขียน) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2044 เป็นวิหารเปิดโล่งที่เก่าแก่ที่สุดอีกหลังหนึ่งทางภาคเหนือ คงรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม ภายในไม่มีฝ้าเพดาน กำแพงด้านพระประธานเขียนภาพลายทองบนพื้นรักแดง มีภาพจิตรกรรมศิลปะล้านนาบนแผงไม้คอสองที่กล่าวกันว่าเก่าแก่ที่สุด และหลงเหลือเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 ลงมา แต่ปัจจุบันภาพเขียนลบเลือนไปมาก และประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 1.25 เมตร สูง 1.25 เมตร
 - ซุ้มพระบาท สร้างครอบพระพุทธบาทไว้ ฐานก่อขึ้นเป็นชั้นคล้ายฐานเจดีย์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 1992 ภายในมองเห็นแสงหักเห ปรากฏเป็นเงาพระธาตุและพระวิหารในด้านมุมกลับ แต่มีข้อห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้น
กุฏิพระแก้ว เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างเมื่อใด แต่ประมาณอายุไม่ต่ำกว่า 400 ปี มาแล้ว
วิหารพระเจ้าศิลา เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าศิลาซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงละโว้ เมื่อ พ.ศ. 1275 พระบิดาของพระนางจามเทวีมอบให้ประดิษฐานไว้ ณ ที่นี้
 พิพิธภัณฑ์ รวบรวมศิลปวัตถุจากที่ต่าง ๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น สังเค็ด ธรรมาสน์ คานหาบ ตู้พระไตรปิฎก เป็นต้น

นอกจากนี้วัดพระธาตุลำปางหลวงยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระแก้วดอนเต้า” (พระแก้วมรกต) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปาง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะล้านนาสลักด้วยหยกสีเขียว มีงานนมัสการพระแก้วดอนเต้าในวันเพ็ญเดือน 12 ของทุกปี

วัดพระธาตุลำปางหลวงเปิดทุกวัน เวลา 07.30-17.00 น.

การเดินทาง ใช้ถนนสายลำปาง-เถิน ถึงหลักกิโลเมตรที่ 586 เลี้ยวเข้าไปจนถึงที่ว่าการอำเภอเกาะคา จากนั้นเลี้ยวขวาไปอีก 2 กิโลเมตร ถึงทางแยกเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร หรือ นั่งรถสองแถวสีฟ้าที่ถนนรอบเวียง รวมระยะทางจากตัวเมืองลำปางประมาณ 18 กิโลเมตร
แท็กฃี่จากเชียงใหม่ คิดเหมาวัน 2000 บาท รวมน้ำมัน นั่งได้ 4 คน เฉพาะพระธาตุลำปางหลวงระยะทางก็ไปกลับเชียงใหม่ก็เกือบ 200 กม และ แนะนำให้ไปไหว้พระธาตุหิริภุนชัย ที่จ.ลำพูน และ พระธาตุดอยจสุเทพ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเหมา 3 พระธาตุราคารถรวมน้ำมัน 3000 บาท เหมาะสำหรับปีชง 2556 มากๆ โทร 081 617 2116 พงศ์ศักดิ์ 

หมู่บ้านถวาย เชียงใหม่


หมู่บ้านถวาย
บ้านถวาย เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ตั้งมาประมาณ 100 กว่าปี สาเหตุที่ชื่อบ้านถวาย ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ เล่าว่าบ้านถวาย ดั้งเดิมเป็นจุดถวายของให้พระนางเจ้าจามเทวีที่เสด็จผ่าน จากนครลำพูน ซึ่งเดินทางโดยทางเกวียนผ่านมาทางบ้านถวาย ชาวบ้านเมื่อทราบข่าวการจะเสด็จผ่านของพระนางฯ จึงพากันเตรียมข้าวของ หรือบางครอบครัวก็จะช่วยกันรีบตีเครื่องเงินเตรียมไว้ถวาย
บ้านถวายเป็นหมู่บ้านหนึ่ง ในตำบลขุนคง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทางห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 18 กิโลเมตร แต่เดิมชาวบ้านประกอบอาชีพหลักทางด้านการเกษตร แต่เมื่อประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งทำให้ผลผลิตตกต่ำ ส่งผลให้ชาวบ้านมีรายได้น้อย ดังนั้นหลังฤดูเก็บเกี่ยวชาวบ้านส่วนใหญ่จะเดินทางไปรับจ้างทำงานในตัวเมืองเชียงใหม่ เช่น รับจ้าง ก่อสร้าง และอื่น ๆ แต่มีบางส่วนออกไปค้าขายไม่ได้ประกอบอาชีพอยู่ในท้องถิ่นของตัวเอง
จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2500- 2505 พ่อใจ๋มา อิ่นแก้ว พ่อหนานแดง พันธุสา และพ่อเฮือน พันธุศาสตร์ ทั้งสามท่านได้ไปรับจ้างอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ เช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป จนท่านได้ไปที่ร้านน้อมศิลป์ บ้านวัวลายซึ่งเป็นร้านจำหน่ายไม้แกะสลักที่โด่งดังในช่วงนั้น ทั้งสามท่านเกิดความสนใจในการรับจ้างแกะสลักไม้ จึงได้ขอทางร้านทดลองแกะดู ปรากฏว่าฝีมือพอทำได้ ทางร้านจึงให้เริ่มทำงานรับจ้างที่ร้านน้อมศิลป์ตั้งแต่นั้นมา การทำงานแกะสลักไม้ของทั้งสามท่านปรากฏว่ามีรายได้ดีกว่าการรับจ้างก่อสร้าง และทุกวันฝีมือการแกะสลักก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ท่านจึงเปลี่ยนอาชีพจากการับจ้างทั่วไปมาเป็นการรับจ้างแกะสลักไม้ที่ร้านดังกล่าว จนเมื่อเกิดความชำนาญ และเมื่อมีงานมากขึ้นทั้งสามท่านจึงได้ขอนำมาทำที่บ้าน และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการถ่ายทอดงานแกะสลักไม้ให้แก่ลูกหลาน ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านโดยไม่รู้ตัวและไม่หวงความรู้แม้แต่น้อย งานที่นำมาถ่ายทอดครั้งแรก เป็นการแกะสลักไม้แผ่นลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายรามเกียรติ์ ลายครุฑ ตุ๊กตาดนตรี ต่อมาเริ่มทำเป็น ตัวพระ และรับซ่อมตกแต่งของเก่าประเภทงานไม้ และเริ่มเลียนแบบของเก่าที่มีผู้นำมาซ่อม พร้อมทั้งออกแบบงานที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านถวายเอง จากนั้นได้มีกลุ่มสตรีแม่บ้านของบ้านถวายเองซึ่งออกไปรับจ้างทำงานสี งานแอนติค และตกแต่งลวดลายเส้นที่ร้านในเมืองเชียงใหม่ ย่านวัวลาย และได้พัฒนาฝีมือ ทำลวดลาย ปิดทอง จนเกิดความชำนาญเช่นเดียวกัน เมื่อมีงานเพิ่มขึ้นทางร้านให้นำมาทำที่บ้านโดยคิดค่าจ้างทำเป็นชิ้น เมื่องานเสร็จก็นำไปส่งที่ร้าน ก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้นำมาถ่ายทอดในหมู่บ้าน และโอกาสในการพบปะกับลูกค้าของทางร้าน ซึ่งลูกค้าก็ได้ติดต่อโดยตรงและเข้ามาซื้อสินค้าถึงในหมู่บ้านจึงทำให้บ้านถวายเริ่มกลายเป็นแหล่งซื้อหาไม้แกะสลักและเกิดธุรกิจขึ้นในหมู่บ้าน ตั้งแต่นั้นมาแต่ละบ้านเริ่มจะปรับบริเวณบ้านของตนเอง โดยใช้บริเวณหน้าบ้านเป็นร้านค้า ส่วนหลังบ้านก็ทำงานหัตถกรรมแกะสลักไม้ ตกแต่งผลิตภัณฑ์ ในครอบครัวตั้งแต่นั้นมา
เดินทางสะดวกปลอดภัย โดย แท็กฃี่ พร้อมคนชับผู้ชำนาญทาง โทร 081 617 2116 พงศ์ศักดิ์ ราคา ชั่วโมง แรก และ สอง 250/ชั่วโมง ชั่วโมงที่ 3 ขึ้นไป 200/ชั่วโมง รวมค่าน้ำมัน ยกเว้นถ้าเหมาไปต่างจังหวัด
แนะนำให้ไปชม บ้าน100อัน1000อย่าง ซึ่งเป็นพิพีธภัณฑ์ของการแกะสลักที่ดีที่สุดในประเทศไทย ได้รับการเยี่ยมจาก พระราชินีนาถ สมเด็จพระเทพ และ อีกมาก

เชียงใหม่ หรือชื่อเดิม “นพบุรีศรีนครพิงค์”


เชียงใหม่ หรือชื่อเดิม “นพบุรีศรีนครพิงค์” ก่อตั้งเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรล้านนาเมื่อกว่า 700 ปีก่อน โดยพญาเม็งรายมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เม็งราย ต่อมาในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เชียงใหม่มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช และเมื่อมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาคในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองเชียงใหม่จึงเปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลพายัพ และกลายเป็นจังหวัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เชียงใหม่นับเป็นศูนย์กลางของจังหวัดในภาคเหนือ โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เนื่องจากความพร้อมของแหล่งท่องเที่ยว ทั้งทางด้านธรรมชาติอันงดงาม ด้านศิลปวัฒนธรรม และประเพณีของชาวเชียงใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์น่าประทับใจ และความพรั่งพร้อมในเรื่องสถานที่พักและบริการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ ที่หลากหลาย เป็นที่ดึงดูดคนมาท่องเที่ยวนับล้านคนในแต่ละปี
ทิปส์ท่องเที่ยว
  • ช่วงฤดูหนาวจัดเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงนั้นจะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดเทศกาล ทำให้การจราจรในย่านตัวเมืองติดขัด แนะนำให้ใช้รถสองแถว หรือเช่ารถจักรยาน รถมอเตอร์ไซค์ ขี่เที่ยวในย่านตัวเมืองเชียงใหม่จะสะดวกที่สุด
  • การขับรถเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ที่สภาพเส้นทางลาดชันไปตามไหล่เขา ผู้ขับต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นและเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
  • ช่วงเวลาสำหรับการดูนกบนดอยอินทนนท์ คือ ช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งจะมีนกอพยพหนีหนาวมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
  • ในเชียงใหม่มีสถานที่ชมดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยอยู่หลายแห่ง แต่ละแห่งสวยงามไม่แพ้กัน เช่น ดอยอินทนนน์ ดอยขุนแม่ยะ ดอยขุนช่างเคี่ยน ดอกนางพญาเสือโคร่งมักออกดอกบานสะพรั่งพร้อมกันทั้งต้นในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนเดินทางไปท่องเที่ยว
  • Taxi Chiangmai: 081 617 2116 พงศ์ศักดิ์ พร้อมคนขับชำนาญ ทั้งเช่าเหมาวัน หรือ เป็นรายชั่วโมง
T

เชียงใหม่ ไนท์ ซาฟารี Chiangmai Night Safari


เชียงใหม่ ไนท์ ซาฟารี
เชียงใหม่ ไนท์ ซาฟารี
เชียงใหม่
วันเปิดทำการ:
ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 10.00 - 24.00
ข้อมูลการติดต่อ :
หมวดหมู่ : สวนสัตว์ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว :
เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ดำเนินการภายใต้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน )ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ในพื้นที่ตำบลแม่เหียะ  ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 10 กิโลเมตร
 
ส่วนแสดงสัตว์ในโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ประกอบด้วย
-Jaguar Trail นักท่องเที่ยวสามารถเดินพักผ่อนได้ตามอัธยาศัยรอบทะเลสาบ (Swan Lake) ระยะทาง 1.2 กม. โดยมีจุดเริ่มต้นจากอาคารลานนาวิลเลจด้านร้านอาหาร และสิ้นสุดที่ทางออกใกล้เรือนวารีกุญชร ตลอดระยะทางจะพบกับสัตว์ป่ามากกว่า 400 ตัว หรือ 50 ชนิด อาทิเช่น เสือขาว เสือจากัวร์ หนูยักษ์คาปิลาลา เสือลายเมฆ สมเสร็จบราซิล ม้าแคระ ฮิปโปแคระ ลิงอุรังอุตัง เสือดำ ลิงกระรอก หมีโคอาล่า แมวดาว นกกระเรียนหงอนพู่ นากใหญ่ขนเรียบ ลามา นกคลาสโซโนวี่ เสือปลา ฯลฯ

-Predator Prowl ส่วนแสดงสัตว์ป่าประเภทสัตว์กินเนื้อ ประมาณ 200 ตัว นักท่องเที่ยวจะสัมผัสความตื้นเต้นกับสัตว์นักล่าที่มึความดุร้ายโดยรถ Tram ขนาด 60 ที่นั่ง ตามระยะทาง 2.13 กม. อาทิเช่น เสือโคร่งขาว เสือโคร่งอินโดจีน เสือโคร่งเบงกอล สิงโต หมาป่าแอฟริกา หมีควาย หมีหมา กวางเจมส์บ็อค กวางไนยาร่า กวางขาวสปริงบ็อค กวางดำสปริงบ็อค หมาจิ้งจอก อูฐสองโหนก ฯลฯ
-Savanna Safari ส่วนแสดงสัตว์ป่าประเภทสัตว์กีบและสัตว์กินพืชที่มีถิ่นอาศัยในแถบทุ่งหญ้าซาวันนา ประมาณ 320 ตัว นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสสัตว์อย่างใกล้ชิด โดยรถ Tram ขนาด 60 ที่นั่ง ตามระยะทาง 2.43 กม. อาทิเช่น เลียงผา กวางผา กระทิง แรดขาว ไฮยีน่า เสือชีต้า วีลด์เดอบีส ยีราฟ จามรี ละอง ละมั่ง กวางกาเซลล์ หมูป่า กวางบาราสิงกา ฯลฯ โดยระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะพบกับสถาปัตยกรรมจำลองเวียงกุมกาม ซึ่งสะท้อนถึงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่
-และในพื้นที่บริการจะเป็นหมู่บ้านล้านนา ซึ่งเป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมก่อสร้างที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบแอฟริกาและไทยลานนา ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์อาหาร ศูนย์รวมสินค้า OTOP ของที่ระลึก และเป็นถานีรับ-ส่งนักท่องเที่ยวไปยังส่วนแสดงสัตว์ และด้านข้างอาคารยังมีลานน้ำพุดนตรี (Fun Plaza) สำหรับเด็กๆ ได้เล่นน้ำขณะรอขึ้นรถ
อัตราค่าเข้าชม
กลางวัน
 ชาวไทย              ชาวต่างชาติ
 เด็ก     25            เด็ก     50
 ผู้ใหญ่  50            ผู้ใหญ่  100

กลางคืน
 ชาวไทย              ชาวต่างชาติ
 เด็ก     125          เด็ก     300
 ผู้ใหญ่  250          ผู้ใหญ่  500

เวลาเข้าชม
ช่วงกลางวัน 
 จันทร์-ศุกร์ 13.00-16.00
 เสาร์-อาทิตย์ 10.00-16.00
ช่วงกลางคืน 
 ทุกวัน 18.00-24.00
หมายเหตุ
- เข้าฟรี : สำหรับเด็กที่มีความสูงไม่เกิน 100 ซม.
- รถลากพ่วง : ให้บริการระหว่างเวลา 19.00-22.30 น.
การเดินทาง จากเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนห้วยแก้ว เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 121 ไปอำเภอหางดง ประมาณ 10 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 
แท๊กฃี่ ไป-กลับ 500 บาท โทร 081 617 2116 พงศ์ศักดิ์
ที่พัก เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี รีสอร์ท
บริการบ้านพักและสถานที่ตั้งเต็นท์พักแรมสำหรับนักท่องเที่ยว สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. +66 5399 9015, +66 5399 9079,
+66 5399 9000
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.
+66 5399 9079
เว็บไซต์ www.chiangmainightsafari.com

เทศกาลบอลลูนนานาชาติประเทศไทย (Thailand International Balloon Festival) เชียงใหม่


เทศกาลบอลลูนนานาชาติประเทศไทย (Thailand International Balloon Festival)
เทศกาลบอลลูนนานาชาติประเทศไทย (Thailand International Balloon Festival)
ดนตรีและคอนเสิร์ต,นิทรรศการ,การถ่ายภาพ
23 - 25 พฤศจิกายน 2555 
ข้อมูลการติดต่อ ททท.
    105/1 ถ.เชียงใหม่-ลำพูน ต.วัดเกต อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ 50000
    Tel. +66 5324 8604, +66 5324 8607
หมวดหมู่ ดนตรีและคอนเสิร์ต,นิทรรศการ,การถ่ายภาพ
สอบถามข้อมูลและขอรายละเอียดเพิ่มเติม
  งานเทศกาลบอลลูนนานาชาติประเทศไทยครั้งที่ 6 ซึ่งถือเป็นงานระดับประเทศ และเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติเป็นอย่างยิ่ง และยังเป็นการสร้างสีสันให้กับการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ให้คึกคักยิ่งขึ้น โดยทางจังหวัดเชียงใหม่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาชมกิจกรรมในครั้งนี้ ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นราย ซึ่งทางจังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้มีการเตรียมความพร้อม ทั้งในด้านที่พัก และการเดินทางเอาไว้แล้ว ซึ่งคาดว่า จะสามารถรองรับนักท่องที่จะเข้ามาชมเที่ยวทั้งหมดได้ ทศกาลบอลลูนนานาชาติประเทศไทย ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
 โดยเทศกาลบอลลูนนานาชาติประเทศไทย  ครั้งนี้ จะจัดขึ้นในรูปแบบ “บอลลูน แอนด์ มิวสิค เฟสติวัล” ในระหว่างวันที่ 23-25 พฤศจิกายน 2555 โดยเนรมิตพื้นที่กว่า 100 ไร่ ของยิมคานา กอล์ฟคลับ สนามกอล์ฟแห่งแรกของประเทศไทย  ซึ่งมีภูมิทัศน์สวยงามกลางเมืองเชียงใหม่ ติดกับค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่
  ในช่วงกลางวัน มีกิจกรรมประดิษฐ์บอลลูนกระดาษ พร้อมเปิดโอกาสให้ โรงเรียนต่างๆ นำนักเรียนมาร่วมกิจกรรมได้ อีกทั้งยังมีการแสดงจากโรงเรียนต่างๆ เช่น วงโยธวาธิต และ ดารา คอรัส จากโรงเรียนดาราวิทยาลัย, วงดนตรีมงฟอร์ต วิทยาลัย ส่วนช่วงเย็น ชมการแสดงแสง สี เสียง หรือ ไนท์ โชว์  ของเหล่าบอลลูน  ในยามค่ำคืน มีไอเย็นของลมหนาวพัดผ่าน ฟังดนตรีจากสามศิลปินระดับแนวหน้า Aruba Red บินตรงจากประเทศอังกฤษ, หนึ่งจักรวาล ยอดนัดดนตรีและนักแต่งเพลง และ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ที่จะมาเปิดคอนเสิร์ตเต็มรูปครั้งแรกในเชียงใหม่ และศิลปินอีกมากมาย ที่จะมาสร้างสีสันยามค่ำคืน บัตรเข้างาน ราคา คนละ 100 บาท

Taxi Chiangmai: 081 617 2116 พงศ์ศักดิ์