3/18/2013

ธรรมะร่วมสมัยกับ 'ดังตฤณ' vs อภิญญาญาณของหนุ่ม 'ริชชี่'


จิด-ตระ-ธานี : ๑๓ พ.ย. ๒๕๕๐
       นานๆ จะได้มีโอกาสวิจารณ์หนังสือเสียที ประกอบกับผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากอยู่แล้ว หนังสือธรรมะก็เป็นแนวหนึ่งที่ผมให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ประกอบกับได้มีโอกาสอ่านมาหลากหลายแนว อ่านๆ ไป ก็ผนวกความสงสัยเป็นระยะๆ เพราะอาจารย์แต่ละท่านก็อธิบายไปต่างๆ นาๆ บางท่านก็ว่าอย่างโน้น บางท่านก็ว่าอย่างนี้ ไม่เหมือนกัน แต่พอดีมา...อ่ะเจ๊อะ กับหนังสือที่โดนใจเข้าจริงๆ ซึ่งเป็นหนังสือธรรมะที่มีความร่วมสมัย ไม่ตกยุค โดยผู้เขียนใช้นามปากกาว่า 'ดังตฤณ'
ถ้าใครมีโอกาสแวะเวียนไปตามร้านหนังสือบ่อยๆ (เหมือนผม) ในช่วง ๒-๓ ปีมานี้ น่าจะสะดุดกับชื่อหนังสือที่ติดอันดับ Top 10 (ขายดีมั่กๆ) มาอย่างยาวนาน กับชื่อสะดุดหูว่า 'เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน' ประพันธ์ โดย ดังตฤณ (ปัจจุบันน่าจะตีพิมพ์มากกว่า ๓๐ ครั้งแล้วนะ) เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ ที่หนังสือธรรมะสามารถยึดพื้นที่ ติดอันดับ

๑ ใน ๑๐ ของหนังสือขายดี ได้ยาวนานอย่างน่าอัศจรรย์

 ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ 'ดังตฤณ' กันสักเล็กน้อยนะครับ

       'ดังตฤณ' เป็นนามปากกาของ ศรันย์ ไมตรีเวช มีชื่อเล่นว่า ตุลย์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๑๐ ที่ จ.ชลบุรี เป็นบุตรชายคนเล็กของ คุณพ่อวิโรจน์ ไมตรีเวช ซึ่งเป็นผู้ปูรากฐานให้ธรรมะตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะคุณพ่ออยากมีลูกชายที่มีธรรมะนั่นเอง
       ดังตฤณ เริ่มสนใจศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณอย่างจริงจัง ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๕ ดังตฤณเคยให้สัมภาษณ์ว่า "เป็นเด็กขี้เกียจเรียนอย่างยิ่ง แต่ไม่ถึงกับเกเร จนหนีเรียน เหตุเพราะไม่เห็นความสำคัญของการมีชีวิต จนเกิดเป็นปมในใจ ให้รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับชีวิตตลอดมาว่า ทำไมเราต้องมี ทำไมเราต้องเป็น จึงเริ่มต้นแสวงหา และได้ค้นพบคำตอบที่น่าพอใจที่สุดในชีวิต จาก 'พระไตรปิฎกฉบับประชาชน' ของ อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ จนเกิดความรู้สึกเหมือนได้กินขนมที่ชอบ ไม่รู้เบื่อ"
       ดังตฤณ เรียนจบปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ จาก ABAC เคยบวชกับหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย ตอนอายุครบ ๒๐ ปี ดังตฤณเคยทำงานในสายวิชาชีพด้านคอมพิวเตอร์กว่า ๑๐ ปี ก่อนจะมาเป็นนักเขียนหนังสือธรรมะ best seller ในปัจจุบัน สถานภาพปัจจุบัน : โสดครับ

       ตฤณ อ่านว่า 'ตริน' แปลว่า 'หญ้า' ดังนั้น ดังตฤณ จึงแปลว่า เหมือนหญ้า หรือ เสมอกันกับหญ้าสักต้นหนึ่ง
       ดังตฤณ มีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการคือ www.dungtrin.com ในเว็บไซต์มีผลงานทุกเล่มของดังตฤณ ที่คุณสามารถดาวน์โหลดไปอ่านได้ฟรี และบางเล่มยังมี 'หนังสือเสียง' ในรูปแบบ mp3 ให้ดาวน์โหลดไปเปิดฟังในขณะทำงานได้ด้วย (อันนี้ดีมั่กๆ ผมขอแนะนำเลยครับ)
       สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในผลงานของดังตฤณ คือ การปรับเนื้อหาธรรมะ (ซึ่งคนทั่วไปรู้สึกว่ายาก) ให้ย่อยง่าย มีความร่วมสมัย ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน เหมาะกับการทำความเข้าใจในเบื้องต้น ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่ธรรมะที่ยากขึ้นในขั้นสูงต่อไป

       ขอยกตัวอย่าง หนังสือชื่อ '๗ เดือนบรรลุธรรม' ซึ่งดังตฤณ เขียนออกมาในเชิงนวนิยาย โดยตัวเอกเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ทำงานเป็นหัวหน้าแผนกในบริษัทโฆษณา เป็นคนเจ้าอารมณ์ มีศัตรูเป็นเพื่อนร่วมงาน ที่คอยปัดแข้งปัดขากันตลอดเวลา มีแฟนสาวสวย มีราคะ โทสะ โมหะ ครบสูตร เหมือนเราๆ ท่านๆ นี่แหละ แต่วันหนึ่งเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า 'เกิดมาทำไม ?' จนเป็นเหตุให้ดั้นด้นแสวงหาคำตอบ โดยเริ่มต้นศึกษาและทดลองปฏิบัติอย่างจริงจัง ตามแนวทาง 'สติปัฏฐาน ๔' ที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะไว้ ระหว่างทางต้องพบกับอุปสรรค ทำให้ท้อ เหนื่อย เสียกำลังใจ พาลจะเลิกเอาเสียดื้อๆ ก็มี แต่ในที่สุด บทสุดท้ายสามารถบรรลุธรรมถึงขั้น 'พระโสดาบัน' ได้ในระยะเวลา ๗ เดือน ในขณะที่ยังเป็นฆราวาสผู้ครองเรือนอยู่นี่แหละ ไม่ต้องรอชาติหน้าแต่อย่างใด (พระโสดาบัน คือ ๑ ใน ๔ พระอริยะบุคคล ซึ่งเป็นลำดับแรกสุดในการบรรลุธรรม และลำดับสุดท้ายคือ พระอรหันต์)

       อีกเล่มที่อยากแนะนำคือหนังสือชุด 'เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว' มีทั้งหมด ๑๒ เล่ม เนื้อหาเป็นการตอบคำถาม 'ปัญหาคาใจ' ของสามัญชนในยุคปัจจุบัน ที่มีทั้งปัญหาส่วนตัว และปัญหาเชิงสังคม ซึ่งคำตอบอิงกับหลักธรรมทางพุทธศาสตร์ในเชิงลึก ซึ่งผมชอบใช้คำว่า ตอบได้ 'อย่างกะตาเห็น'
อาทิ สวิงกิ้งผิดศีลไหม? (เล่ม ๑๑) การเที่ยวผู้หญิงเป็นบุญหรือบาป? (เล่ม ๑๒) ไซเบอร์เซ็กซ์ไม่เลือกหน้าถือว่าสำส่อนไหม? (เล่ม ๑๑) การเข้านิพพานไม่จัดเป็นการฆ่าตัวตายหรือ? (เล่ม ๑๒) วิบากรรมมีจริงหรือ? (เล่ม ๑) แค่โกหกต้องตกนรกเลยหรือ? (เล่ม ๑) คนดีทำไมตายไม่ดี? (เล่ม ๑)กรรมใดทำให้เกิดเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ? (เล่ม ๒) เทวดาบรรลุมรรคผลได้ไหม? (เล่ม ๑๐) ทำไมเศรษฐีระดับโลกเคยจนมาก่อน? (เล่ม ๙) เป็นนักวิทยาศาสตร์โดยอาชีพ ควรจะเชื่อเรื่องกรรมอย่างไร? (เล่ม ๙) จะทราบได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์ (เล่ม ๙) ความโปร่งแสงของเทวดา(เล่ม ๙) ฯลฯ
 (สนใจคำตอบ สามารถหาอ่านหรือฟังได้จากเว็บไซต์ของดังตฤณ)

       ดังตฤณ กล่าวไว้ว่า ในโลกนี้ 'ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ' ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหตุมาจากกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น ซึ่งมนุษย์สามารถสร้างได้ทั้ง กรรมดำ กรรมขาว กรรมกึ่งดำกึ่งขาว และ กรรมไม่ดำไม่ขาว และพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรา 'รู้ตามจริง' เท่านั้น

       จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือ 'อวิชชา' (ความไม่รู้) และจุดแข็งที่สุดของทุกศาสนาคือ 'สอนให้รู้สึกว่ารู้แล้ว' ซึ่งศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่มีฐานเป็นศรัทธา หรือความเชื่อ (หากยังไม่สามารถรู้ตามจริง ก็จะเป็นเพียงศรัทธาหรือความเชื่อเท่านั้น) ไม่ต่างจากศาสนาอื่น แต่ปลายยอดสุดของพุทธศาสนาเป็นปัญญา (สามารถปฏิบัติเพื่อให้รู้ตามจริงได้ในชาตินี้ ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อนเหมือนศาสนาอื่น) แต่ศาสนาอื่น ที่ปลายยอดสุดก็ยังเป็นศรัทธาอยู่

       ดังตฤณเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า.....

       "ผมนิยามตัวเองว่า เป็นคนไม่ตกยุค แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนทันสมัย ใช้ชีวิตง่ายๆ ตามความรู้สึกว่าสบายสำหรับตัวเอง ผมเคยเป็นเด็กที่มีความเห็นแก่ตัวสูง กล่าวคือ พออยากเอาประโยชน์ เอาประกัน เอาความอุ่นใจไว้ให้ตัวเอง ก็จะมองหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นประกัน และเป็นความน่าอุ่นใจสูงสุด โดยไม่คำนึงว่าใครจะพูดถึงสิ่งนั้นว่าอย่างไร หรือชักชวนให้เข้าหาสิ่งอื่นดิบดีเพียงไหน

       ผมเป็นคนเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น แม้ผิวนอกจะดูซื่อๆ เหมือนถูกหลอกง่าย แต่จู่ๆ จะมาบอกว่า ชาติปัจจุบันถูกใครปั้นมาอย่างนี้ หรือเพราะชาติก่อนผมเป็นอย่างนั้น แล้วชาติหน้าจะเป็นอย่างโน้น ผมไม่มีทางด่วนยอมรับอย่างเด็ดขาด

       ผมอยากรู้ความจริง เกี่ยวกับที่มาที่ไปของตัวเอง เพราะฉะนั้นใครบอกว่ามีวิธีอะไร มีอุบายลัดสั้นแบบไหน ผมจะดั้นด้นไปลองเรียนรู้โดยไม่รังเกียจ เรียนแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อค่อยว่ากันตามเหตุตามผล

       มาเริ่มรู้สึกว่าเป็นไปได้ ที่จะสามารถแจ่มแจ้งแทงตลอดเกี่ยวกับตัวเองจริงๆ ก็เมื่อพบคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ประมวลแล้วสรุปได้ประการหนึ่ง คือ ถ้ารู้เรื่องของตัวเองในวินาทีนี้เป็นอย่างดี ก็จะสามารถสืบสาวไปหาอดีตหนหลังได้มากเท่ามาก กับทั้งอาจพยากรณ์ตนเองถูกด้วยว่าอนาคตจะได้ดีหรือตกยากปานใด

       ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มจากความสนใจใคร่รู้ มาจนถึงวันนี้ ที่พอจะได้คำตอบบางส่วนแล้ว ไม่มีแม้แต่วันเดียว ที่ผมนิยามตนเองว่าเป็น 'นักปฏิบัติธรรมภาวนา' นั่นอาจเพราะผมไม่เคยตั้งข้อสังเกตว่า นักปฏิบัติธรรมภาวนาต้องทำหรือไม่ทำอะไรบ้าง ผมยังคงใช้ชีวิตสบายๆ ตามที่รู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองมาตลอด แต่ในขณะเดียวกันก็มองเห็นถนัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า...ยิ่งเชื่อเหตุผลของพระพุทธเจ้าเร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็จะได้คำตอบที่ต้องการเป็นสุขตามปรารถนาเร็วขึ้นเท่านั้น"

(จากบทความ "เมล็ดพันธุ์แห่งการตื่นรู้
", 'เนชั่น สุดสัปดาห์' ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๖๘๕ วันที่ ๑๘-๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ โดย 'ดังตฤณ')

       เล่มต่อไปที่ผมจะแนะนำคือ 'Super Richy (it's not easy to be me) อุบัติการณ์มหัศจรรย์' เรื่องราวจากชีวิตจริงของเด็กหนุ่มชาวเชียงใหม่ นามว่า ริชชี่

       อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ข้างต้นล่ะครับว่า ผมชอบอ่านหนังสือแนวธรรมะ ถึงจะอ่านมานานเป็น ๑๐ ปีแล้ว มีหนังสือกองเป็นพะเรอเกวียน และมีส่วนช่วยขจัดปัญหา ความวุ่นวายในชีวิตผมได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เกิดความเข้าใจแจ่มชัดเท่าที่ควร จะว่าไปก็เปรียบเหมือนการสะสมทุน หรือต่อจิ๊กซอว์ทางธรรมมาเรื่อยๆ นั่นแหละครับ ทั้งๆ ที่หนังสือของ ดังตฤณ ผมก็ซื้อมาได้เป็นปีๆ แล้ว พออ่านจบก็ถูกเก็บเข้าชั้นเหมือนเดิม แต่จิ๊กซอว์ดังกล่าว เริ่มคลิกลงตัวสมบูรณ์ เมื่อผมเปิดไปเจอรายการทีวี VIP ที่หนุ่มริชชี่ ให้สัมภาษณ์ และหลังจากผมได้อ่านหนังสือของริชชี่จบแล้ว จิ๊กซอว์ดังกล่าวที่สะสมไว้ในตัวผมมานานก็ถูกต่อจนครบลงตัวพอดี

        ยอมรับครับว่า...ผมเองก็ไม่ต่างจากคนร่วมสมัยในยุคนี้ซักเท่าไหร่ ที่ไม่ค่อยเชื่อหรือไม่แน่ใจว่า วิบากกรรมหรือผลของกรรมมีจริงหรือ? ชาติภพมีจริงรึเปล่า? ทำไมคนดีๆ ถึงได้ผลตอบแทนเลว? นรกสวรรค์เป็นเพียงเรื่องหลอกเด็กรึ? ทำไมต้องรักษาศีล ๕ ให้เมื่อยตุ้ม? เกิดหนเดียวก็ควรตายหนเดียวสิ ชีวิตนี้ควรจะกอบโกยให้มากๆ เห็นแก่ตัวไว้ก่อนดีกว่า

       เหตุผลส่วนหนึ่งก็มาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ได้แปรเปลี่ยนแนวความคิดของคนกว่าค่อนโลก เกี่ยวกับคติดั้งเดิม ปฏิเสธศาสนาว่ามีแต่เรื่องงมงายไร้สาระ ที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยตาเนื้อ หรือไม่เชื่อกันแล้วว่า บุญ-บาป นั้นมีจริง จนเกิดนิยามใหม่ในหมู่คนไทยว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" แทบจะเรียกได้ว่า วิทยาศาสตร์ ได้กลายเป็นศาสนาใหม่ สำหรับคนยุคนี้ไปเสียแล้ว แต่ข้อเท็จจริง ก็คือ...วิทยาศาสตร์ไม่สามารถ ชี้หนทางหรือให้คำตอบแก่มนุษยชาติเพื่อก้าวพ้นทุกข์ได้เลย มีแต่ให้ความเจริญทางวัตถุเท่านั้น

       ณ วันนี้ผมได้ปวารณาตัวเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างเต็มหัวใจแล้วครับ มิใช่เพียงแค่ขึ้นทะเบียนลงในบัตรประชาชนว่านับถือ ศาสนาพุทธ แต่ไม่รู้จักอะไรเลย เหมือนแต่ก่อน ผมเห็นภัยของ 'สังสารวัฏ' แล้วว่าน่าหวาดกลัวเพียงใด (ผู้มีญาณหยั่งรู้ ย่อมเห็นตามจริงว่า 'สัตว์ในคติพุทธหมายรวมตั้งแต่ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต มนุษย์ เทวดา และพรหม ล้วนไม่เคยตาย เพียงแต่เปลี่ยนจากสภาพหนึ่ง ไปสู่อีกสภาพหนึ่งเท่านั้น ตามบุญหรือกรรมที่สัตว์เหล่านั้นเป็นผู้ก่อ) และโชคดีเพียงไรที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่พบพระพุทธศาสนา เห็นชัดแล้วว่าการรักษาศีล ๕ (ซึ่งเป็นศีลเบื้องต้นสำหรับฆราวาส) นั้นมีความสำคัญมากมายเพียงไร ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว แน่นอน เพราะเป็น 'กฎแห่งกรรม'
ตามธรรมชาติที่มิอาจปฏิเสธได้ (เปรียบดั่งปลูกมะม่วงย่อมได้ผลเป็นมะม่วง มิอาจแปรเป็นอื่นได้) แต่ที่คนธรรมดามิอาจหยั่งรู้ ความสลับซับซ้อนของ กรรมวิบาก เพราะเป็น ๑ ใน 'อจินไตย ๔' ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มิอาจล่วงรู้ ได้ด้วยการคิดคำนึงตามวิสัยของปุถุชนธรรมดา อันประกอบไปด้วย
๑. พุทธวิสัย ญาณหยั่งรู้แบบพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ชื่อว่า 'สัพพัญญู' คือรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
๒. ญาณวิสัย ญาณหยั่งรู้อันเกิดจากอำนาจสมาธิ หรือ อภิญญา ๖ 
๓. กรรมวิบาก ผลของกรรม
๔. โลกจินตา ความคิดเรื่องโลกและจักรวาล

ริชชี่เป็นเด็กหนุ่มผู้มีญาณหยั่งรู้พิเศษเหนือคนปกติทั่วไป ในพุทธศาสนาเรียกว่า อภิญญา ซึ่งอธิบายไว้ว่า อภิญญา คือ ควาามรู้ยิ่ง มี ๖ ประการดังนี้

๑. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหิน เดินอากาศ เป็นต้น
๒. ทิพโสต หูทิพย์ ได้ยินเสียงที่มนุษย์ปกติไม่อาจได้ยิน
๓. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้วาระจิตผู้อื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
๕. ทิพจักขุ มีตาทิพย์ มองเห็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดามิอาจเห็นได้
๖. อาสวักขญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป 
(ข้อสุดท้ายนี้เป็นข้อเดียว ที่ยังไม่มีการกล่าวถึงในหนังสือริชชี่)
       แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสรรเสริญ ญาณวิเศษเหล่านี้ (ยกเว้นข้อ ๖) เพราะยังไม่เป็นเหตุแห่งการพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง หากใช้ไปในทางที่ผิดย่อมก่อเวร ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงกระแสของ 'นิพพาน' ได้ แต่ตามปกติวิสัยของผู้ทรงฌาณ ที่ปฏิบัติถูกตรง (แม้ในลัทธิอื่น หรือศาสนาอื่น) ก็สามารถมีญาณหยั่งรู้ถึงขั้น อภิญญา ได้ ถึงแม้มิคิดอยากได้ แต่ก็จะปรากฏขึ้นมาเอง
       ริชชี่เป็นเด็กที่ต่างจาก เด็กทั่วไป คือไม่คลานแต่เดินได้เลย ตั้งแต่อายุได้ ๑ ขวบ และกินแต่นมอย่างเดียวไม่ยอมกินข้าว จนอายุได้ ๘ ขวบ ถึงเริ่มกินข้าวเป็นครั้งแรก และรู้สึกตัวว่ามีญาณวิเศษเมื่ออายุ ๑๓ ปี หลังจากเหตุการณ์ฟ้าผ่าที่ยอดตาลอายุกว่า ๑๐๐ ปี ที่ปลูกไว้หลังบ้าน จากนั้นก็อ่านได้สนุกครับ เพราะมีแต่เรื่องอัศจรรย์ เต็มไปด้วยอภินิหาร เช่นมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เห็นวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวร สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ ซึ่งริชชี่บอกว่า ตนเองคือองค์นารายณ์ที่แบ่งภาคจากสวรรค์มาเกิดยังโลกมนุษย์ เพื่อสร้างบารมี (ดังตฤณ กล่าวว่า เทวดา นั้นเป็น 'นันทิ' คือผุดขึ้นเพื่อเสวยสุขเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถประกอบกรรมได้ หากต้องการสร้างกุศลกรรม จึงต้องจุติ (ตาย) เพื่อมาเกิดในโลกมนุษย์เท่านั้น)
       จากนั้นยังกล่าวถึง พญานาค และคนทรงที่ไม่ใช่เทพมาเป็นร่างทรง แต่เป็นผีที่หนีมาจากนรกที่มาหลอกว่าเป็นเทพ ด้วยความที่ริชชี่มีฤทธิ์มาก จึงสามารถไล่ไปได้ มีการรักษาด้วยน้ำมนต์ซึ่งเป็นน้ำที่ได้พลังปราณมาจากองค์นารายณ์ มีผีปอป มีอสุรกาย มีพระพิรุณเซึ่งหอบฝนได้ มีพญาราหู มีอำนาจในการทำลายผู้ที่ถูกคุณไสยเล่นงาน แยกร่างถอดจิตไปช่วยเหลือคน ทำลายอำนาจ และปลดปล่อยผีที่คนเล่นคุณไสยกักขังไว้ให้เป็นอิสระได้ สามารถระลึกชาติได้ กำหนดรู้วาระจิตผู้อื่นได้ และอื่นๆ อีกมาก ฯลฯ ซึ่งเจ้าตัวกล่าวไว้ว่า ทั้งหมดที่บรรยายในหนังสือเล่มนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง
 (คลิกเว็บไซต์ริชชี่ อ่านเพิ่มเติม www.superrichy.com )
       ผมอ่านแล้วยังขนลุก หากเป็นสมัยก่อน คงคิดว่าเจ้าหนุ่มริชชี่นี่ คงปั้นน้ำเป็นตัวแหงมๆ แต่เรื่องของริชชี่ สำหรับผมแล้ว ก็เหมือนได้กุญแจดอกสำคัญ ที่ทำให้ผมหมดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่อง ชาติ-ภพ หรือ สังสารวัฏ ที่ค้างคาใจมาเนิ่นนานอย่างสิ้นเชิง และทำให้การกลับไปอ่านหนังสือของ ดังตฤณ ซ้ำในครั้งใหม่นี้ มีความแตกต่างจากเดิมอย่างยิ่ง ทำให้ผมเข้าใจว่าการรักษาศีล มีเป้าหมายเพื่อ 'ยุติการก่อ อกุศลกรรมทั้งมวล' เพราะโลกใบนี้หมุนไปตามอำนาจของกระแสจิต ที่เกิดขึ้นจากแรงกรรม เพราะ 'จิตนั้นเป็นนาย กายเป็นบ่าว' เหมือนที่ ดังตฤณ กล่าวไว้ว่า โลกเปรียบเหมือนกับภาชนะ ที่กำเนิดมาเพื่อรองรับจิตวิญญาณของสัตว์ ที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ด้วยความไม่รู้ และพระพุทธองค์ยังทรงชี้ให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีตัวตนอย่างแท้จริง เป็น อนัตตา ทั้งสิ้น
       ถึงวันนี้ ผมจะยังไม่สามารถ 'รู้ตามจริง' ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนได้ แต่อย่างไรผมก็เชื่อหรือศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจแล้วว่า 'สมาธิจิตนั้นมีอำนาจทรงพลัง' สามารถฝึกตามวิชา 'รู้ตามจริง' เพื่อให้ถึงขั้นที่เรียกว่า อภิญญา อย่างที่กล่าวมาได้ และหากแน่วแน่จริงๆ ก็สามารถฝึกเพื่อบรรลุถึงขั้นที่เหนือกว่า คือ นิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพื่อพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดตลอดกาล
จิด-ตระ-ธานี

No comments:

Post a Comment