นับถอยหลังเข้าสู่สิ้นปี (31/12/58) อยากให้ลูกๆ ใช้เวลาอันมีค่าและมีความหมายมากที่สุดนี้
ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาตลอดปี 58 ว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ลูกๆ
ที่รักของพ่อ รู้สึกดีและภาคภูมิใจไปกับมัน และมีเรื่องอะไรบ้างที่ ลูกๆ รู้สึกว่า
เป็นความผิดพลาด บกพร่อง ซึ่ง ลูกๆ ได้กระทำผิดอย่างซ้ำซาก
ถึงขนาดบ่นพึมพำกับตัวเองว่า เอาอีกแล้วกู เจ็บแล้วไม่จำ เฮงซวย สมน้ำหน้า
กูไม่น่าเลย ฯลฯ
คนดีคนเก่ง แต่ไม่กล้าออกไปทำฝันให้สำเร็จ
คนที่ทำงานให้คนอื่นรวยมากมาย แต่พอออกไปทำให้ตัวเองก็ทำไม่สำเร็จ
คนเก่งที่ไม่เคยกล้าออกจากงานที่ไม่ชอบเพื่อไปทำสิ่งที่รักเลยตลอดชีวิต
คนที่ทำงานฟรีคิดออกแต่ถ้าจะได้ผลตอบแทนคิดไม่ออก
คนที่ไม่กล้าเรียกค่าตัวที่คู่ควรให้กับตัวเอง
คนที่พอใกล้จะสำเร็จหรือถึงวันสำคัญ จะหยุดทำ หรือไม่สบาย ไปเสียเฉยๆ
คนที่เคยเก่งมากๆ แต่พอถูกปลดจากงานหรือล้มทางธุรกิจครั้งเดียวแล้วไม่เคยลุกขึ้นมาเก่งอีกเลย
คนที่เคยเก่งพอพลาดครั้งเดียวหลังจากนั้นทำอะไรก็คิดผิดจนไม่สำเร็จ
คนที่ทำงานให้คนอื่นรวยมากมาย แต่พอออกไปทำให้ตัวเองก็ทำไม่สำเร็จ
คนเก่งที่ไม่เคยกล้าออกจากงานที่ไม่ชอบเพื่อไปทำสิ่งที่รักเลยตลอดชีวิต
คนที่ทำงานฟรีคิดออกแต่ถ้าจะได้ผลตอบแทนคิดไม่ออก
คนที่ไม่กล้าเรียกค่าตัวที่คู่ควรให้กับตัวเอง
คนที่พอใกล้จะสำเร็จหรือถึงวันสำคัญ จะหยุดทำ หรือไม่สบาย ไปเสียเฉยๆ
คนที่เคยเก่งมากๆ แต่พอถูกปลดจากงานหรือล้มทางธุรกิจครั้งเดียวแล้วไม่เคยลุกขึ้นมาเก่งอีกเลย
คนที่เคยเก่งพอพลาดครั้งเดียวหลังจากนั้นทำอะไรก็คิดผิดจนไม่สำเร็จ
คนที่ถูกปฏิเสธจากคนรักคนสำคัญเพียงครั้งเดียว
แล้วไม่เคยเชื่อว่าตัวเองเป็นที่รักอย่างแท้จริงได้อีกเลย
คนที่ปฏิเสธเงิน คิดว่าคนได้เงินเยอะคือทำงานแบบขายวิญญาณ แต่ตัวเองขาดเงินเพราะก่อหนี้ ที่ตัวเองไม่มีเงินจ่ายคืน
คนที่คอยด่าคนที่ทำสำเร็จทั้งที่ตัวเองอยากทำสำเร็จแต่ล้มทุกครั้ง
คนที่มีเงินทีไรต้องมีเรื่องทำให้มันหายไปทุกที
คนที่เข้าใกล้ความสำเร็จทีไร จะต้องทำให้มันหายไปทุกครั้ง
แล้วไม่เคยเชื่อว่าตัวเองเป็นที่รักอย่างแท้จริงได้อีกเลย
คนที่ปฏิเสธเงิน คิดว่าคนได้เงินเยอะคือทำงานแบบขายวิญญาณ แต่ตัวเองขาดเงินเพราะก่อหนี้ ที่ตัวเองไม่มีเงินจ่ายคืน
คนที่คอยด่าคนที่ทำสำเร็จทั้งที่ตัวเองอยากทำสำเร็จแต่ล้มทุกครั้ง
คนที่มีเงินทีไรต้องมีเรื่องทำให้มันหายไปทุกที
คนที่เข้าใกล้ความสำเร็จทีไร จะต้องทำให้มันหายไปทุกครั้ง
กุญแจ (ทาน ศีล สติ) ปลดล๊อคชีวิต ต้องไขจากภายใน คลี่คลายสิ่งที่ติดค้างภายใน
เสียงที่บ่นพึมพำในใจนี่แหละเป็นยาขนานเอกที่จะช่วยให้ชีวิตของ
ลูกๆ ดีขึ้น มันจะไปอยู่ในความทรงจำ เตือนจิต ลูกๆ ให้ระลึกถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ผ่านมาในอดีต
ที่เคยเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก แต่อย่าทำให้เสียกำลังใจ
เพราะ ทุกอย่างที่ จักรวาลจัดสรร เพิ่อเป็นบทเรียน ให้เราเป็นเรา ที่ดีที่สุด
สู่จุดที่ดีที่สุดเสมอ ไม่ใช่แค่ดี แต่ เป็นเลิศ บวก กับ ให้อภัย
ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวเราเอง
ทำความเข้าใจ
เลือกกลยุทธ์ใหม่
ความเชื่อใหม่
สร้างชีวิตใหม่พบคนใหม่ดีดี
เข็มทิศจะชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ
ที่ทิศเหนือมีดาวเหนือ ดาวนำทาง
กฎธรรมชาติเตือนเราเสมอว่า เราเกิดมาเพื่อมีชีวิตที่ดีที่สุดค้นพบตัวเอง มีชีวิตอยู่อย่างเต็มศักยภาพของความเป็นมนุษย์ ถ้าลืมไปว่ามนุษย์ ถูกสร้างมาอย่างพิเศษขนาดไหน ลองนึกถึง จักรวาล ที่ดาวต่างนับล้านๆ หมุนไป ต้นไม้ทุกต้น มีที่ว่างให้เติบโตอย่างเหลือเฟือ ข้าวออกรวง อวัยวะต่างๆในร่างกายทำงานประสานกันอย่างมหัศจรรย์ เพื่อทำประโยชน์พัฒนาตัวเองและผู้อื่น เรียนรู้สร้างสรรค์ด้วยความเมตตา เอื้อเฟื้อ ซื่อตรง ยุติธรรม ดีงาม
ที่ทิศเหนือมีดาวเหนือ ดาวนำทาง
กฎธรรมชาติเตือนเราเสมอว่า เราเกิดมาเพื่อมีชีวิตที่ดีที่สุดค้นพบตัวเอง มีชีวิตอยู่อย่างเต็มศักยภาพของความเป็นมนุษย์ ถ้าลืมไปว่ามนุษย์ ถูกสร้างมาอย่างพิเศษขนาดไหน ลองนึกถึง จักรวาล ที่ดาวต่างนับล้านๆ หมุนไป ต้นไม้ทุกต้น มีที่ว่างให้เติบโตอย่างเหลือเฟือ ข้าวออกรวง อวัยวะต่างๆในร่างกายทำงานประสานกันอย่างมหัศจรรย์ เพื่อทำประโยชน์พัฒนาตัวเองและผู้อื่น เรียนรู้สร้างสรรค์ด้วยความเมตตา เอื้อเฟื้อ ซื่อตรง ยุติธรรม ดีงาม
ความสุขความสมบูรณ์ทั้งปวงมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้วตลอดเวลาเพียงหยุดแสวงหา
แล้วยอมให้สิ่งที่ดีงามที่สุดได้เปิดเผยตัวออกมา
เวลาที่ชีวิตส่งวิกฤติบีบมาทุกทาง
เพื่อให้เราไม่มีทางรอดอื่นนอกจากการหันกลับมาดูภายในว่าเราสามารถมีความสุขที่เป็นอิสระจากสิ่งต่างๆ
ภายนอก ความงาม ความสมบูรณ์ มีอยู่ภายในเราแล้วตลอดมา
ชีวิตที่งดงามบริบูรณ์อยู่ตรงนี้ตลอดมา
เหมือนดาวเหนือในคืนฟ้าสว่าง เราอาจมีความสุข สนุกกับชีวิตจนลืมมองเห็น
แต่ในวันที่ฟ้ามืดมิด ความทุกข์กลุ้มรุมไม่มีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว
เป็นโอกาสให้เรามองเห็นที่พึ่งที่แท้จริงในตัวเรา
เป็นกฎธรรมชาติ
เป็นหลักให้นักเดินทางได้รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ตรงไหน กำลังพาชีวิตไปทางใด
เมื่อใดที่เราหลงลืม
ละเลยเข็มทิศภายใน นำชีวิตออกนอกเส้นทางเพราะความวุ่นวาย ความเหน็ดเหนื่อย
ความสำเร็จ ความสนุก ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเล็กๆ น้อยๆ
ธรรมชาติก็จะส่งเหตุการณ์ทุกอย่างมาเตือนให้บทเรียน
ให้เราหันกลับสู่เส้นทางแห่งดาวเหนือดาวนำทางสู่ชีวิตที่งดงามบริบูรณ์
2559 อยากให้ลูกๆ ฝึกเจริญสติ เมื่อถึงจุดหนึ่ง จะเห็นการเกิดดับที่รวดเร็วจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ
ตัว ซึ่งคนธรรมดามองไม่เห็น เช่น แสงเทียนที่ลุกโชติช่วงดูเรียบเนียน
ความจริงแล้วมีการเกิดดับของสะเก็ดไฟกระจายอยู่ภายในมากมาย
แม้แต่อิริยาบถของร่างกาย ก็มีการเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
สติที่ไวทำให้สามารถจับการเปลี่ยนแปลงได้ละเอียดมากขึ้น เมื่อเห็นการเกิดดับ
ของสิ่งต่างๆ รอบตัวเร็วกว่าคนอื่น จะทำให้เกิดปัญญาหยั่งรู้เข้าใจเรื่องหลัก
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างชัดเจน
ถ้ากำลังสติไวขึ้นอีก จะเห็นการเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ ดับไป ของ เวทนา ตัณหา อุปาทาน สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเกิดจากจิต
และเห็นการเกิดดับของความคิด ซึ่งเกิดจากสมอง กำลังสติในขั้นนี้จะหยั่งรู้ว่า
จิตกับสมองเป็นคนละส่วน แต่ทำงานร่วมกัน การปฏิบัติธรรมในลักษณะของการเจริญสติ
กำหนดเฝ้าดูอาการต่างๆ จนเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
สามารถฝึกได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ตอนทำงาน ขับรถ เดิน ยืน นั่ง นอน
หรือแม้แต่ตอนหายใจ ท้องก็พอง ยุบอยู่ตลอด พยายามกำหนดสติตลอดเวลาที่ระลึกได้ เช่นที่
ไทเกอร์วูดเหวี่ยงไม้กอล์ฟ หากแมลงบินผ่านเขาจะสามารถหยุดไม้กอล์ฟได้โดยตีไม่ถึงลูก เบรกอยู่ จับอาการทุกขณะนี้
นี้คือ ความลับของจักรวาล
การนั่งสมาธิและการฝึกเจริญสติ
เกี่ยวข้องกับเจตสิกคนละดวง การนั่งสมาธิจะเป็นการฝึก เอกัคคตาเจตสิก
ซึ่งเจตสิกตัวนี้มีหน้าที่กระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน
ส่วนการฝึกเจริญสติหรือวิปัสสนากรรมฐานจะกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนโดพามีน
ฮอร์โมนสองชนิดนี้ทำงานต่างกัน โดพามีนจะเกี่ยวข้องกับความเฉลียวฉลาด
เอ็นโดรฟินเกี่ยวข้องกับความสงบแต่สมองจะไม่ไว ผู้ที่ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน
เมื่อบรรลุพ้นญาณ 6 จะรู้สึกว่าสมองไวมาก
โน้มจิตคิดอะไรก็เข้าใจไปหมด จนหลายคนหลงผิดไปว่า บรรลุญาณหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง
ความจริงเป็นเพียงประสิทธิภาพของสมองที่สูงขึ้น
วิธีในการแยกจิตออกจากสมอง คือ
ใช้สติเป็นเครื่องมือ ดังที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล บอกว่า “คิดเท่าไรๆ ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้
แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้”
หมายความว่า
ถ้าใช้สติเฝ้าดูความคิดแต่ไม่รับอารมณ์ จะแยกจิตออกจากสมองได้ จะเห็นตัวความคิดและแยกแยะออกว่า
สิ่งใดเป็นการทำงานของจิต สิ่งใดเป็นการทำงานของสมอง
ในการฝึกเจริญสติแบบกายานุปัสสนา
ในการเคลื่อนไหว จิตจะเป็นตัวสั่งการให้สมองส่งสัญญาณไปที่กล้ามเนื้อ
ดังนั้นขณะเดินจงกรม ถ้ากำหนดสติดูอาการละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่บรรลุญาณ
จะรู้ว่า การเคลื่อนไหวแบบตั้งใจ เกิดจากจิตไม่ใช่สมอง
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย
และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ
เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
การแข่งขันในวงการงานนั้น
คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่มีสติสูง ถ้าอยากประสบความสำเร็จจึงต้องฝึกสติ
และวิธีง่ายที่สุดพระพุทธเจ้าได้ออกแบบไว้แล้ว คนที่อยากประสบความสำเร็จแต่ไม่อยากเสียเวลากับการนั่งสมาธิ
ก็เท่ากับไม่ได้ฝึกสติเลย บางคนเกิดมาสติไว เพราะมีบุญเก่า ก็ประสบความสำเร็จได้ง่าย
แต่ถ้าเราไม่ไว ต้องฝึก ฝึกได้ (ทพ สม สุจิรา) เองก่อนปฏิบัติธรรม ก็เขียนหนังสือไม่เป็น
แต่พอนั่งเจริญสติจนถึงจุดหนึ่ง เวลาเราอ่านเล่มใด ก็จะเห็นจุดสำคัญเร็วมาก
เพราะสติไวกว่าแสง อ่าน 10 เล่ม ก็คั้นจุดสำคัญมารวมในเล่มเดียวได้ อีกอย่างเวลาสติไว
จะจับเวทนาคนอื่นได้ด้วย ปกติเราจะจับชอบหนอ เกลียดหนอ โลภหนอ
พอเราจับถึงระดับหนึ่ง จิตคนเรามันเหมือนกัน พอถึงจุดหนึ่งเราจับจิตคนอื่นได้
จะเป็นผลดีทางธุรกิจด้วย อย่างคนทำโฆษณาสินค้าออกมาให้ตรงใจผู้บริโภค
นั่นไม่ใช่ฟลุก แต่เพราะจับใจผู้บริโภคได้ ถ้าจะแข่งขันเราต้องเห็นเหตุปัจจัยเร็วกว่าคนอื่น สติที่ไวจะจับทางคู่ต่อสู้ได้
แม้หลักธรรมว่าด้วยการเจริญสติจะเป็นสิ่งดีที่มีประโยชน์ แต่กับคนที่ไม่เคยมีพื้นฐาน มักมีข้อสงสัยว่าทำแล้ว จะได้อะไร คำอธิบายนี้ ทพ.สม บอกว่าสำหรับคนที่อยู่วงการธุรกิจที่แข่งขัน จะไม่รู้ นึกว่าช้า แต่แท้จริงการฝึกสติ เช่น เดินจงกรม ช่วงแรกจะช้าเหมือนคนป่วยเดิน ที่เรารู้สึกว่าช้าเพราะจิตเราจับขาไม่ทัน แต่ถ้าเราฝึกไปเรื่อย ๆ สักสี่ ห้าเดือน จะเดินเร็วกว่าคนทั่วไปโดยที่สติไม่หลุดเลย สติอาจไวกว่าคนทั่วไปถึงสิบเท่า การทำธุรกิจ ถ้าเร็วแบบลน จะอันตรายเพราะขาดสติ ต้องช้าลงจะหยุดสักปีหนึ่งก็ไม่เป็นอะไร คือถ้ารู้สึกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ดวงไม่ดี ซึ่งอาจเป็นเพราะเราลน จนเข้าไม่ถูกจังหวะ ลองถอยออกมา ฝึกสติ จนถึงจุดหนึ่งเราจะเร็วแล้วค่อยเข้าไปอีกรอบ
นั่นไม่ใช่ฟลุก แต่เพราะจับใจผู้บริโภคได้ ถ้าจะแข่งขันเราต้องเห็นเหตุปัจจัยเร็วกว่าคนอื่น สติที่ไวจะจับทางคู่ต่อสู้ได้
แม้หลักธรรมว่าด้วยการเจริญสติจะเป็นสิ่งดีที่มีประโยชน์ แต่กับคนที่ไม่เคยมีพื้นฐาน มักมีข้อสงสัยว่าทำแล้ว จะได้อะไร คำอธิบายนี้ ทพ.สม บอกว่าสำหรับคนที่อยู่วงการธุรกิจที่แข่งขัน จะไม่รู้ นึกว่าช้า แต่แท้จริงการฝึกสติ เช่น เดินจงกรม ช่วงแรกจะช้าเหมือนคนป่วยเดิน ที่เรารู้สึกว่าช้าเพราะจิตเราจับขาไม่ทัน แต่ถ้าเราฝึกไปเรื่อย ๆ สักสี่ ห้าเดือน จะเดินเร็วกว่าคนทั่วไปโดยที่สติไม่หลุดเลย สติอาจไวกว่าคนทั่วไปถึงสิบเท่า การทำธุรกิจ ถ้าเร็วแบบลน จะอันตรายเพราะขาดสติ ต้องช้าลงจะหยุดสักปีหนึ่งก็ไม่เป็นอะไร คือถ้ารู้สึกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ดวงไม่ดี ซึ่งอาจเป็นเพราะเราลน จนเข้าไม่ถูกจังหวะ ลองถอยออกมา ฝึกสติ จนถึงจุดหนึ่งเราจะเร็วแล้วค่อยเข้าไปอีกรอบ
ถ้ามองในมุมของสติที่ไว
ประสิทธิภาพจะสูงกว่าปกติ ฉะนั้นถ้าทำธุรกิจแล้วมีธรรมะประจำใจ ไม่ใช่ว่าเราจะแพ้
เราจะชนะ และไม่เกิดกิเลส ตัณหาด้วย จุดนี้บิล เกตส์ (ประธานบริษัทไมโครซอฟท์)
กับวอร์เรน บัฟเฟต นักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในปี ค.ศ.2008 ทำให้ดูแล้ว
โดยบัฟเฟต ซึ่งไม่ใช่ชาวพุทธ บอกว่า ตอนเล่นหุ้นเขาไม่เกิดเวทนา ตัณหาเลย
ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือตก เขามองด้วยสติ
มองเหมือนดูคลื่นจากเครื่องบินที่เห็นมันขึ้น ๆ ลง ๆ
ซึ่งถ้ามองโดยขาดเวทนาก็จะจับจังหวะคลื่นได้
และต่อมาได้บริจาคเงินทั้งหมดเข้ามูลนิธิของบิล เกตส์
ยังขับรถคันแรกที่ซื้อเมื่อหลายปีก่อน บ้านก็อยู่หลังเก่า บิล เกตส์ ก็เหมือนกัน
คนนี้เก่งทางคอมพิวเตอร์ สมัยก่อนต้องส่งคำสั่งทางแป้นคีย์บอร์ด ไม่มีเมาส์
เขามองออกว่าควรเอาคำสั่งใส่ในเครื่องแล้วมีเมาส์คอยชี้ พอเขาค้นพบ เขาก็รวยมหาศาล
แต่ก็ไม่ติดยึดและบริจาคทั้งหมดเป็นล้านล้านบาท คนพวกนี้ถือว่ากิเลสน้อย ซึ่งไม่ใช่เขาไม่ทำความเจริญกับโลก
ไมโครซอฟท์ทำความเจริญให้โลกขนาดไหน จะบอกว่าคนไม่มีกิเลสทำให้โลกไม่พัฒนา
ก็ไม่ใช่ ผมว่ากิเลสจะยิ่งทำให้โลกด้อยพัฒนา เพราะมันฉวยเข้าหาตน เอาเปรียบ
ทำให้เกิดสงคราม
สำหรับคนธรรมดาที่สนใจการปฏิบัติธรรม อาจมีข้อสงสัยว่า จำเป็นหรือไม่ที่ต้องปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวและควรมีจังหวะเวลาอย่างไร คุณหมอให้คำตอบ อ้างคำแนะนำของพระอาจารย์ว่า ความถี่สำคัญกว่าความเข้ม เช่น ปฏิบัติวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน ทำสิบวัน ได้ห้าชั่วโมง กับการไม่หมั่นฝึก แต่ให้เวลาเดือนละครั้ง นั่งฝึกสติสิบห้าชั่วโมง คงสู้ไม่ได้ เหมือนนักกีฬาที่ซ้อมทุกวันกับเดือนหนึ่งมาทีแต่ซ้อมทั้งวัน กำลังจิตจะต่างกัน เหมือนการฝึกกาย การฝึกปฏิบัตินั้น ห้ามหยุด เพราะจะสะสม ถ้าหยุดวันหนึ่ง วันรุ่งขึ้นจะร่วงไปเลย จะไม่ต่อเนื่องกับของเดิม
สำหรับคนธรรมดาที่สนใจการปฏิบัติธรรม อาจมีข้อสงสัยว่า จำเป็นหรือไม่ที่ต้องปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวและควรมีจังหวะเวลาอย่างไร คุณหมอให้คำตอบ อ้างคำแนะนำของพระอาจารย์ว่า ความถี่สำคัญกว่าความเข้ม เช่น ปฏิบัติวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน ทำสิบวัน ได้ห้าชั่วโมง กับการไม่หมั่นฝึก แต่ให้เวลาเดือนละครั้ง นั่งฝึกสติสิบห้าชั่วโมง คงสู้ไม่ได้ เหมือนนักกีฬาที่ซ้อมทุกวันกับเดือนหนึ่งมาทีแต่ซ้อมทั้งวัน กำลังจิตจะต่างกัน เหมือนการฝึกกาย การฝึกปฏิบัตินั้น ห้ามหยุด เพราะจะสะสม ถ้าหยุดวันหนึ่ง วันรุ่งขึ้นจะร่วงไปเลย จะไม่ต่อเนื่องกับของเดิม
ความลับของจักวาล The Top Secret ก็คือ
• เมื่อใดที่เราสร้างภาพแห่งอนาคตได้ชัดเจนเท่ากับภาพในอดีต เหมือนกับว่าเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว รู้สึกว่าเกิดขึ้นจริงแน่นอน เมื่อนั้นเราก็จะสามารถกำหนดอนาคตให้เป็นดั่งภาพในจินตนาการได้ โดยให้รู้สึกชิลๆ ประมาณว่า ดีจังที่ได้มี....จะแบ่งปัน...
• เคล็ดลับของอัจฉริยะ คือการสร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นในใจก่อนเสมอ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในสมองของเรา ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นจริง
•มนุษย์มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งนั่นคือ "สติสัมปชัญญะ" ที่คอยควบคุมดูแลอารมณ์ ความรู้สึก ตลอดไปถึงความคิด
•ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ ให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเงิน ทุกๆวัน เพื่อรับ Law of attraction เช่น ลองนึกทบทวน มีบางคน รินน้ำให้คุณ แบ่งขนมให้ ชม อมยิ้มให้ แอบมองวันที่คุณแต่งตัวสวยหล่อ ขอบคุณตอนคุณพูดหรือทำเรื่องดีดี นึกถึงคุณในเวลาดีดี กดลิฟต์รอคุณ ชะลอรถให้คุณไปก่อน จอดรถให้คุณข้ามถนน ยื่นมือมาจับให้กำลังใจด้วยวิธีแบบที่เขาทำเป็น มีคนดีดีมากมายในชีวิตของเรา เก็บพลังดีงามไว้ อะไรไม่เป็นประโยชน์เข้าใจแล้วปล่อยทิ้งไป มีชีวิตใหม่ใหม่ หัวใจใหม่แบบเด็กๆที่เป็นรอยยิ้มเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองและผู้คนได้ทุกวัน
• เมื่อใดที่เราสร้างภาพแห่งอนาคตได้ชัดเจนเท่ากับภาพในอดีต เหมือนกับว่าเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว รู้สึกว่าเกิดขึ้นจริงแน่นอน เมื่อนั้นเราก็จะสามารถกำหนดอนาคตให้เป็นดั่งภาพในจินตนาการได้ โดยให้รู้สึกชิลๆ ประมาณว่า ดีจังที่ได้มี....จะแบ่งปัน...
• เคล็ดลับของอัจฉริยะ คือการสร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นในใจก่อนเสมอ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในสมองของเรา ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นจริง
•มนุษย์มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งนั่นคือ "สติสัมปชัญญะ" ที่คอยควบคุมดูแลอารมณ์ ความรู้สึก ตลอดไปถึงความคิด
•ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ ให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเงิน ทุกๆวัน เพื่อรับ Law of attraction เช่น ลองนึกทบทวน มีบางคน รินน้ำให้คุณ แบ่งขนมให้ ชม อมยิ้มให้ แอบมองวันที่คุณแต่งตัวสวยหล่อ ขอบคุณตอนคุณพูดหรือทำเรื่องดีดี นึกถึงคุณในเวลาดีดี กดลิฟต์รอคุณ ชะลอรถให้คุณไปก่อน จอดรถให้คุณข้ามถนน ยื่นมือมาจับให้กำลังใจด้วยวิธีแบบที่เขาทำเป็น มีคนดีดีมากมายในชีวิตของเรา เก็บพลังดีงามไว้ อะไรไม่เป็นประโยชน์เข้าใจแล้วปล่อยทิ้งไป มีชีวิตใหม่ใหม่ หัวใจใหม่แบบเด็กๆที่เป็นรอยยิ้มเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองและผู้คนได้ทุกวัน
•การ
"ให้" คือการเพิ่ม ให้บวก..บวกในตัวคุณก็จะเพิ่ม ให้ลบ
ลบในตัวคุณก็จะเพิ่ม เช่น ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด
ยิ่งบริจาคยิ่งรวย
•จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวเราเปรียบเสมือนจอรับภาพ ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหน ก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล
•จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆจนตกตะกอนแล้ว
•เมื่อเราฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่เราคิดเกิดขึ้นจริง แล้วจะพบว่าสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตเรามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
•จิตใต้สำนึกทำงานแม้ในขณะหลับ ดังนั้น ในแต่ละวันควรระลึกถึงสิ่งดีๆที่ได้ทำลงไปก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อจะได้ตื่นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น สมองแจ่มใส
• จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจมากกว่าจิตสำนึกหลายหมื่นหลายแสนเท่า การทำงานของจิตใต้สำนึกอยู่เหนือมิติที่สี่
•จิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่เราสั่งสมไว้ในภวังคจิตมานานหลายภพหลายชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบัน จึงทำให้เรามีพื้นฐานจิต อุปนิสัย หรือจริตที่แตกต่างจากคนอื่น ตามประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา
•ทุกครั้งที่ทำความดี จงจดจำความรู้สึกดีดีนั้นไว้ ให้ประทับอยู่ในใจเรา สิ่งนี้จะเป็นพลังให้เรามีกำลังใจที่จะทำความดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญกว่านั้น พลังนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์
•กฎลับ 4 ข้อ หนึ่ง.. ASK ตั้งจิตอธิษฐานขอโดยปราศจากความอยาก เพื่อป้องกันความกระวนกระวาย สอง.. BELIEVE มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราขอว่าเป็นจริงได้โดยไม่มีข้อลังเลสงสัย สาม.. RECEIVE จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่าสิ่งนั้นได้มาแล้วด้วยความรู้สึกปรีดาและมีความสุข สี่..เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ
• อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย แต่ให้ขอสิ่งที่จะทำไปให้ถึงเป้าหมายแทน เช่น ขอให้มีพลังแรงกายแรงใจ มีสติปัญญาให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เป็นต้น
•จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวเราเปรียบเสมือนจอรับภาพ ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหน ก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล
•จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆจนตกตะกอนแล้ว
•เมื่อเราฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่เราคิดเกิดขึ้นจริง แล้วจะพบว่าสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตเรามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
•จิตใต้สำนึกทำงานแม้ในขณะหลับ ดังนั้น ในแต่ละวันควรระลึกถึงสิ่งดีๆที่ได้ทำลงไปก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อจะได้ตื่นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น สมองแจ่มใส
• จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจมากกว่าจิตสำนึกหลายหมื่นหลายแสนเท่า การทำงานของจิตใต้สำนึกอยู่เหนือมิติที่สี่
•จิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่เราสั่งสมไว้ในภวังคจิตมานานหลายภพหลายชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบัน จึงทำให้เรามีพื้นฐานจิต อุปนิสัย หรือจริตที่แตกต่างจากคนอื่น ตามประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา
•ทุกครั้งที่ทำความดี จงจดจำความรู้สึกดีดีนั้นไว้ ให้ประทับอยู่ในใจเรา สิ่งนี้จะเป็นพลังให้เรามีกำลังใจที่จะทำความดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญกว่านั้น พลังนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์
•กฎลับ 4 ข้อ หนึ่ง.. ASK ตั้งจิตอธิษฐานขอโดยปราศจากความอยาก เพื่อป้องกันความกระวนกระวาย สอง.. BELIEVE มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราขอว่าเป็นจริงได้โดยไม่มีข้อลังเลสงสัย สาม.. RECEIVE จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่าสิ่งนั้นได้มาแล้วด้วยความรู้สึกปรีดาและมีความสุข สี่..เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ
• อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย แต่ให้ขอสิ่งที่จะทำไปให้ถึงเป้าหมายแทน เช่น ขอให้มีพลังแรงกายแรงใจ มีสติปัญญาให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เป็นต้น
• ความกลัวเป็นตัวขัดขวางศักยภาพของจิตอย่างรุนแรง
ทำลายสุขภาพทั้งกายและใจ
•ความกลัวจัดเป็นความคิดด้านลบ เมื่อกลัวบ่อยๆ จิตใต้สำนึกจะบันทึกภาพนั้น แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นจริง
•เมื่อใดเรามีสติ ความคิดลบที่เกิดขึ้นในสมองจะไม่มีทางหลุดฝังลงไปในจิตใต้สำนึกได้
•เผชิญกับคนคิดลบ ต้องสร้างพลังบวกให้มากๆ (คบคนพาล พาลพาไปหาผิด) ..แต่ยิ่งคบคนที่คิดบวก.บวกในตัวเราก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น (คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล) ลองคิดถึงสิ่งดีดีที่ทำให้เราอมยิ้มได้ในปีที่ผ่านมา นั่งเล่าเรื่องขำๆกับเพื่อน ทานของอร่อยๆ หัวเราะกับครอบครัวคนที่รัก ทำบางอย่างสำเร็จเช่นทอดไข่เจียวได้ฟู ไปผจญภัยตอนขับรถหลง ได้เพื่อนใหม่ดีดี ค้นพบมาม่ารสใหม่อร่อยเหาะ เจอก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยโดยบังเอิญ สิ่งดีดีในชีวิต อยู่รอบตัวเราทุกวัน เลือกนึกถึงด้านที่มอบพลังให้กับเรา ให้ตัวเราเป็นแสงเทียนส่องสว่าง ที่สว่างเพื่อตัวเองแล้วยังได้แบ่งปันให้ผู้คน มีสุขทุกคืนวัน
•ถ้าเราคิดดี..สิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิต ถ้าเราคิดลบ สิ่งที่ไม่ดีก็จะเข้ามาในชีวิต
•เมื่อชีวิตพบกับอุปสรรค จงคิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส เราก็จะมีพลังด้านบวกเพิ่มขึ้น มีความหวังและนั่นก็หมายถึงสิ่งดีๆ.ก็จะเข้ามาในชีวิตต่อไป สภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี คนใจไม่ดี ที่ปรากฏ เพื่อเตือนให้ทบทวนคุณภาพของความคิด ความเคารพตัวเองที่อยู่ภายใน
เวลาที่เราถูกแวดล้อมด้วยคนลักษณะไหน แสดงถึงคุณภาพของใจเราในขณะนั้น
•ความกลัวจัดเป็นความคิดด้านลบ เมื่อกลัวบ่อยๆ จิตใต้สำนึกจะบันทึกภาพนั้น แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นจริง
•เมื่อใดเรามีสติ ความคิดลบที่เกิดขึ้นในสมองจะไม่มีทางหลุดฝังลงไปในจิตใต้สำนึกได้
•เผชิญกับคนคิดลบ ต้องสร้างพลังบวกให้มากๆ (คบคนพาล พาลพาไปหาผิด) ..แต่ยิ่งคบคนที่คิดบวก.บวกในตัวเราก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น (คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล) ลองคิดถึงสิ่งดีดีที่ทำให้เราอมยิ้มได้ในปีที่ผ่านมา นั่งเล่าเรื่องขำๆกับเพื่อน ทานของอร่อยๆ หัวเราะกับครอบครัวคนที่รัก ทำบางอย่างสำเร็จเช่นทอดไข่เจียวได้ฟู ไปผจญภัยตอนขับรถหลง ได้เพื่อนใหม่ดีดี ค้นพบมาม่ารสใหม่อร่อยเหาะ เจอก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยโดยบังเอิญ สิ่งดีดีในชีวิต อยู่รอบตัวเราทุกวัน เลือกนึกถึงด้านที่มอบพลังให้กับเรา ให้ตัวเราเป็นแสงเทียนส่องสว่าง ที่สว่างเพื่อตัวเองแล้วยังได้แบ่งปันให้ผู้คน มีสุขทุกคืนวัน
•ถ้าเราคิดดี..สิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิต ถ้าเราคิดลบ สิ่งที่ไม่ดีก็จะเข้ามาในชีวิต
•เมื่อชีวิตพบกับอุปสรรค จงคิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส เราก็จะมีพลังด้านบวกเพิ่มขึ้น มีความหวังและนั่นก็หมายถึงสิ่งดีๆ.ก็จะเข้ามาในชีวิตต่อไป สภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี คนใจไม่ดี ที่ปรากฏ เพื่อเตือนให้ทบทวนคุณภาพของความคิด ความเคารพตัวเองที่อยู่ภายใน
เวลาที่เราถูกแวดล้อมด้วยคนลักษณะไหน แสดงถึงคุณภาพของใจเราในขณะนั้น
สิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นเตือนแรงขึ้น
เพื่อให้เราทบทวนยกระดับคุณภาพของใจเราเอง แล้วสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนตามทันที
•การหัวเราะ
จะทำให้คลื่นรังสีออร่ารอบๆตัวเป็นสีสดใส คลื่นบวกของสิ่งแวดล้อมจะมาออรอบๆตัวเรา
เสียงหัวเราะมีพลังดึงดูดสูงมาก
และมันสามารถดึงพลังคลื่นบวกแห่งจักรวาลเข้ามาสู่ตัวเรา
•ความรู้สึก "พอ" จะทำให้ชีวิตมีความสุข และเกิดความรู้สึกอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความรู้สึกนี้จะเป็นพลังดึงดูดที่ทรงอานุภาพและเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุดในการที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเรา
•จงแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่ง เพราะมีการทดลองพบว่ามีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกมาจากร่างกายขณะทีแผ่เมตตา
•ความรู้สึก "พอ" จะทำให้ชีวิตมีความสุข และเกิดความรู้สึกอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความรู้สึกนี้จะเป็นพลังดึงดูดที่ทรงอานุภาพและเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุดในการที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเรา
•จงแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่ง เพราะมีการทดลองพบว่ามีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกมาจากร่างกายขณะทีแผ่เมตตา
คำแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง
ขอให้ข้าพเจ้า จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญฯ
คำแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
•จงคิดบวกเสมอไม่ว่าสถานการณ์ใด คิดแต่สิ่งดีๆทำแต่สิ่งดีๆ แล้วจิตใต้สำนึกจะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเหมือนกันเข้ามา ชีวิตเราก็จะไปสู่สิ่งที่ดี เคยไหม ที่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในชีวิตแล้วเราพยายามดิ้นรน อยากให้มันผ่านไป เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเร็วๆ แล้วตอนที่เรายิ่งดิ้นมันยิ่งแย่ลง พอเราสบายใจ ย้ายไปมุ่งความสนใจที่เรื่องดีดีอื่นๆ มันกลับมีทางออกปรากฏขึ้น ตอนที่จะย้ายใจไปโฟกัสเรื่องดีดีมันยากมาก มันถึงได้ผลดีมาก แต่คนจำนวนมากก็ไม่คิดจะทำ หรือคิดแต่ก็ไม่มีกำลังของใจ(ฤทธิแห่งใจ) พอที่จะวางความคิดเรื่องไม่ดี ไปคิดเรื่องดีดีแทน
ขอให้ข้าพเจ้า จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญฯ
คำแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
•จงคิดบวกเสมอไม่ว่าสถานการณ์ใด คิดแต่สิ่งดีๆทำแต่สิ่งดีๆ แล้วจิตใต้สำนึกจะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเหมือนกันเข้ามา ชีวิตเราก็จะไปสู่สิ่งที่ดี เคยไหม ที่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในชีวิตแล้วเราพยายามดิ้นรน อยากให้มันผ่านไป เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเร็วๆ แล้วตอนที่เรายิ่งดิ้นมันยิ่งแย่ลง พอเราสบายใจ ย้ายไปมุ่งความสนใจที่เรื่องดีดีอื่นๆ มันกลับมีทางออกปรากฏขึ้น ตอนที่จะย้ายใจไปโฟกัสเรื่องดีดีมันยากมาก มันถึงได้ผลดีมาก แต่คนจำนวนมากก็ไม่คิดจะทำ หรือคิดแต่ก็ไม่มีกำลังของใจ(ฤทธิแห่งใจ) พอที่จะวางความคิดเรื่องไม่ดี ไปคิดเรื่องดีดีแทน
เคยไหม ที่คิดถึงคนที่ไม่ได้เจอไม่ได้ติดต่อกันมานาน แล้วพอคิดถึง
ก็บังเอิญได้เจอคนคนนั้นพอดี
เคยไหมที่คลุกคลีกับคนที่ทำให้ใจเราเหมือนตกอยู่ในนรก จนเราคุ้นชิน
ในการมีชีวิตอยู่แบบเสพของไม่ดี ทำให้เงินหายไป หาเงินได้ก็เก็บเงินไม่อยู่
หงุดหงิดอารมณ์เสีย ทะเลาะเบาะแว้งกัน ใจหมอง คลุกคลีอยู่กับสิ่งไม่ดี มีแต่เรื่อง
เสียเงิน กวนใจ มีแต่ปัญหา ความขุ่นมัวเข้ามาในชีวิต
เคยไหม ที่เราคิดอยากให้อะไรเข้ามาในชีวิต ด้วยใจที่สบายๆ แล้ว
เราก็ได้มันมา
เคยไหมที่เห็นภาพสถานที่ที่หนึ่งแบบสบายๆ แล้ว วันหนึ่งก็ไปยืนอยู่ที่นั่นแล้ว
เคยไหมที่เห็นภาพสถานที่ที่หนึ่งแบบสบายๆ แล้ว วันหนึ่งก็ไปยืนอยู่ที่นั่นแล้ว
เคยไหมที่ทำอะไรแบบสบายๆใจแล้วได้ผลเป็นเลิศมาก
ทั้งที่ตอนที่เครียดมากผลกลับไม่ดี
เคยไหมที่ตอนรู้สึกอกหัก ไม่ใช่แค่จากแฟน แต่รวมถึงคนอื่นๆเช่น
เจ้านาย เพื่อน บริษัท องค์กร คนรัก แล้วยิ่งรู้สึกไม่เป็นที่รัก
คนก็ยิ่งห่างหายไป
แต่พอลงมือทำอะไรดีดี เพื่อตนเองและเพื่อคนอื่น หยุดหมกมุ่นกับปัญหาและความทุกข์ของตัวเอง คนกลับมารัก มาดูแล
แต่พอลงมือทำอะไรดีดี เพื่อตนเองและเพื่อคนอื่น หยุดหมกมุ่นกับปัญหาและความทุกข์ของตัวเอง คนกลับมารัก มาดูแล
เคยไหม ช่วงที่มีความทุกข์มากๆ ยิ่งมีปัญหาเข้ามารุมเร้าเพิ่ม
แต่ พอใจเริ่มมีความสุข กลับมีทางออกและมีสิ่งที่ทำให้มีความสุขและดีใจเพิ่มเข้ามา
แต่ พอใจเริ่มมีความสุข กลับมีทางออกและมีสิ่งที่ทำให้มีความสุขและดีใจเพิ่มเข้ามา
เคยไหม วันไหนที่ใจรู้สึกดีมากๆ รักกตัญญูดูแลพ่อแม่ ใจเบิกบาน
เคารพตัวเอง ยิ่งมีสิ่งดีดีหลั่งไหลเข้ามา อะไรที่คิดก็มีคนมาช่วยทำให้สำเร็จ
วันไหนรู้สึกเป็นที่รัก ยิ่งมีคนมารัก
วันไหนรู้สึกเงินหาง่าย ได้เงินเยอะ เงินยิ่งไหลมาเทมา
และที่สำคัญคือเคยไหม ที่พยายามคิดอยากได้บางสิ่งบางอย่างมา
แต่ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะอะไร
ทั้งหมดนี้คือฤทธิ์แห่งใจ
เราทุกคน มีฤทธิ์แห่งใจ เป็นอำนาจอยู่ในตนเอง
จะดีมากขนาดไหน หากคนทุกคนรู้ว่า เครื่องมือที่สำคัญที่สุด ในการสร้างชีวิต คือใจของเขาเอง
จะดีมากขนาดไหน หากคนทุกคนรู้ว่า เครื่องมือที่สำคัญที่สุด ในการสร้างชีวิต คือใจของเขาเอง
เวลาที่เราต้องการเปลี่ยนสถานการณ์ภายนอก
สิ่งที่ทำให้เราได้รับสิ่งที่เราต้องการ คือการเปลี่ยนคุณภาพใจเราเอง
การเปลี่ยนมีขั้นตอน มีเงื่อนไขที่จำเป็นแน่นอนชัดเจน
เงื่อนไขนั้นคืออะไร
จะยิ่งดีมากขนาดไหนถ้าหากคนที่รู้ว่าใจสำคัญนั้น ไม่ใช่แค่รู้ แต่มีกำลังพอที่จะทำได้
สามารถรู้วิธีใช้ ฤทธิ์แห่งใจ ในการสร้างชีวิตที่ดี
รุ่งเรืองทั้งทางชีวิตภายนอกและชีวิตภายใน
• สิ่งที่สกัดกิเลสตัณหาได้มีเพียงสิ่งเดียวคือ "สติสัมปชัญญะ" เพราะเป็นตัวเฝ้าทวารทั้งขาเข้าและออก
•ในที่สุดเราก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งแม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มีอยู่จริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เหมือนฟองสบู่ที่เกิดดับภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
• สิ่งที่สกัดกิเลสตัณหาได้มีเพียงสิ่งเดียวคือ "สติสัมปชัญญะ" เพราะเป็นตัวเฝ้าทวารทั้งขาเข้าและออก
•ในที่สุดเราก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งแม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มีอยู่จริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เหมือนฟองสบู่ที่เกิดดับภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
แอนนาเป็นหญิงสาวอายุ 20 ต้นๆ เธอปฐมพยาบาลดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัมพาตด้วยความรักและเอาใจใส่
แบบชนิดที่ว่าไม่ใช่ดูแลธรรมดา แต่เป็นการดูแลด้วยความหวัง
หวังว่าพ่อของเธอจะต้องหาย พ่อของเธอต้องห้ามตาย
เขียนมาถึงตรงนี้ ให้ลูกๆนึกภาพออกว่า
เธอดูแลพ่อแบบเดิมพันด้วยชีวิต แบบว่ามีการพูดกับตัวเองว่า ถ้าพ่อตาย เธอขอตายด้วย
อารมณ์แบบนี้เป็นอารมณ์แบบที่พ่ออยากบอกลูกๆว่า
คนเราต้องทำอะไรอย่างเอาจริงเอาจัง แต่สบายๆ ชิลๆ อย่างถ้าจะลงทุน หรือ ทำงาน
ก็ต้องบอกกับตัวเองว่า เราผู้มี ฤทธิแห่งใจ เพราะ ลูกๆทุกคนเป็นเทพจุติมาเพื่อ
สร้างตำนาน มีไม้กายสิทธิ์อย่างเดียวกับ Harry Potter ที่เสกสรรสิ่งดีๆให้ตัวเอง ครอบครัว
ชาติ โลก ง่ายๆ สบายๆ แบบมีเข็มทิศ ชัดเจนด้วยเป้าหมายชีวิต แบบตั้งใจสุดๆ มุ่งสู่ทางที่ไม่มีใครเดิน
เป็นเศรษฐีใจบุญแน่นอน
อารมณ์แบบนี้นี่แหละ จะทำให้สถานการณ์อิทธิบาท 4 เกิดขึ้นในใจของลูกๆ
(ฉันทะ จิตตะ วิริยะ วิมังสา) ลูกๆ จะเกิดอาการบ้า
เป็นอาการบ้าที่คนภายนอกที่มองเข้ามาเห็นความผิดสังเกตอย่างชัดเจน
นอนน้อย เอาเวลานอนมาศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่าง พาให้
ลูกๆ รู้สึกถึงว่า การเรียนนอกรั้วมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นได้จริง มีเสน่ห์
และได้ผลดีกว่าการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ถูกบังคับให้เรียน พาให้ชีวิต ลูกๆ ไม่มีเวลาว่างมากอีกต่อไป
พูดน้อย ลูกๆ จะเริ่มเกลียดการพูด การ Drama
และเริ่มเกลียดการถามไปพร้อมๆ กัน อยากจะค้นคว้าหาคำตอบต่อเรื่องที่ ลูกๆ สงสัยด้วยตัวเอง
อาการยืมจมูกผู้อื่นหายใจหายไปแล้ว
กินน้อย ลูกๆ จะไม่หิวแบบในอดีต เพราะ ลูกๆ ไม่มีเวลาว่างที่จะคิดถึงเรื่องหิว
เพราะ ณ ขณะทำงาน จิตเข้าสมาธิ พาให้ ลูกๆ ก้าวข้ามเวลาแบบไม่นึกถึงตัวตน ทำให้เกิดภาวะที่ลืมว่ามีตัวลูกๆอยู่บนโลกใบนี้
(สมองไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นใดเลย ที่มีตัวลูกๆเกี่ยวข้องอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ
ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ถ้าเป็นเราเอง อยู่ในสนาม ไม่ เหมือนคนดูกีฬา หรือ Coach
ที่เห็นข้อบกพร่องทั้ง สนาม ทั้ง 2 ทีม)
เกิดศรัทธาในใจว่า ชาตินี้กูสำเร็จแน่ ไม่มีทางที่จะไม่สำเร็จ
เพราะกูไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว กูขยันและเอาจริงแบบนี้ จะไม่รวยและสำเร็จได้อย่างไร
แต่ก็ชิลๆ ถ้าหากไม่รวย ก็ไม่เป็นไร จะสนุกสนานกับมัน ถือว่าขำๆ
ไอ้ศรัทธาที่เกิดขึ้นในใจนี่ มีอาการแปลกๆ แปลกตรงที่ว่า
ศรัทธาแรงกล้า แต่ถ้าผิดหวังก็สามารถที่จะปลงและยอมรับกับความไม่สำเร็จได้
ขยันเหลือเกิน ขยันจริงๆ ขยันแบบไม่มีใครต้องมาบังคับ ทำให้นิสัยที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งหายไป
ดินที่พอกหางหมูเอาไว้ก็ค่อยๆ ถูกแกะ พาให้เกิดการทำงานได้เสร็จและทันเวลาตลอด
ไม่มีเหตุการณ์ที่ ลูกๆ ชอบอ้างว่า ไม่มีเวลา
ไม่อยากมีเพื่อนมากแบบในอดีต เพราะจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกในใจว่า
เหล่าผองเพื่อนที่คบอยู่จำนวนมากเป็นบัวใต้น้ำ คบไปก็เสียเวลา ชีวิตของ ลูกๆ ถึงเวลาออกเดินทางไกลเพื่อไปค้นหาขุมทรัพย์
และค้นหาตัวเองไปด้วย ทำให้ลูกๆ เลือกเพื่อน และคบเพื่อนน้อยลง
ใจของ ลูกๆ จะสงบ มีเมตตา และไม่เห็นแก่ตัวแบบในอดีตอีกต่อไป
ที่คิดจะทำอะไรก็เพื่อกู เพื่อกู และเพื่อกู มาวันนี้ ลูกๆ มีอาการเกรงใจคนทุกคนที่
ลูกๆ เข้าไปรู้จักและเกี่ยวข้อง ด้วย
หลายๆ อาการที่ยกตัวอย่างมานี้ อยากให้ลูกๆ ลองทบทวนและสังเกตจิตใจของตัวเองให้ดี
จะทำให้ลูกๆ เกิดความรู้สึกว่า ลูกๆ เป็นคนพิเศษที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ก็เพื่อจะประสบความสำเร็จ
และร่ำรวย เป็นเศรษฐีใจบุญ
พบแสงสว่างในที่มืด พบประตูในกำแพง
พบทางที่ไม่เคยมีใครเดิน
เป็นคนที่ ใช่ ใช่ ใช่ ไม่ใช่เราแล้วจะเป็นใคร เป็นเราที่ดีที่สุด เป็นคนพิเศษ
ที่ทำงาน ให้ประสบความสำเร็จ ระดับสร้างตำนาน มี งานแห่งชีวิต รักแห่งชีวิต
มีชีวิต ที่เป็นชีวิต ช่วยเหลือ ตัวเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และ โลก …. วกกลับมาเรื่องของแอนนาอีกที
สุดท้ายพ่อของเธอตาย หลังจากที่ป่วยเป็นอัมพาตมานาน เธอเสียใจแบบสุดๆ
(โคตรของโคตรเสียใจ)
อีกไม่นานต่อมา แอนนาหญิงสาวหน้าตาดี อายุ 20 กว่าๆ
ก็เริ่มป่วยเป็นอัมพาต มีอาการแบบพ่อของเธอ
ทีมแพทย์ที่หนึ่งในนั้นมี ซิกมันด์ ฟรอยด์
พยายามหาจุดบกพร่องที่เกิดขึ้นในสมอง แต่หาอย่างไร ก็ไม่เจอสาเหตุ
สมองของแอนนาปกติทุกประการ ทำให้ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เครียดอยู่นาน
สุดท้าย ซิกมันด์ ฟรอยด์ ก็เจอ จิต ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้
แอนนาป่วย
จิตที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ บอกว่า
ซ่อนอยู่ในกายตรงที่ว่างและความเงียบ มีอยู่จริงๆ จิตนี้ไม่มีตัวตน เป็นนามธรรม
มีอิทธิพลเหนือสมอง สามารถเข้าไปควบคุมสมองได้ พาให้แอนนากลายเป็นอัมพาต ดังนั้น
การจะรักษาแอนนาให้หาย จะต้องหาตัวจิตนี้ให้เจอ และให้มันเลิกเข้าไปควบคุมสมอง
วิธีสะกดจิตถูกนำมาใช้ แอนนาดีขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแอนนาหายป่วย
กลับมาเป็นคนปกติ
ซิกมันด์ ฟรอยด์ ส่งข่าวนี้ไปถึงไอน์สไตน์ บอกกับไอน์สไตน์ว่า
เขาเจออนุภาคที่เล็กที่สุด ที่วัดขนาดไม่ได้ จะใช่พลังงาน (E) ตัวเดียวกับที่ไอน์สไตน์เจอในสมการ
E = MC2 หรือไม่ก็ไม่รู้ และเขายังบอกเรื่องที่สำคัญมากๆ
ว่า จะเจอจิตได้ด้วยวิธีอย่างไร
เริ่มที่ตัวเราเพียงอยู่เงียบๆ ในห้องของตัวเอง
เบลส ปาสกัล กล่าวไว้ว่า
"สาเหตุอย่างเดียวที่ทำให้มนุษย์เป็นทุกข์คือเขาไม่รู้ว่าจะอยู่ เงียบๆ
ได้อย่างไร?
สำหรับเขาเหล่านี้แล้วบริบทแห่งความสุขสงบไร้ความหวั่นไหว
ไม่ได้เกิดจากการตื่นเต้น เร้าใจซึ่งเป็นลักษณะของชีวิตสมัยใหม่
ทว่าเกิดในความเงียบของห้องอ่านหนังสือ หรือห้องทำงาน เรียนแล้วรู้ ในความเงียบของห้องสวดมนต์ภาวนา
ในความสงบของท้องทุ่ง หากแต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถ
บังคับให้เกิดขึ้นในทันทีทันใดได้ ต้องค่อยๆใฝ่หาและปฏิบัติ
และมันจะมาสู่เราอย่างช้าๆ ดังที่ ฟรานส์ คาฟคา ได้กล่าวไว้ว่า
"คุณไม่จำเป็นต้องออกไปจากห้อง นั่งนิ่งๆ ที่โต๊ะ แล้วฟัง ไม่ต้องฟังด้วยซ้ำ
แค่รอเท่านั้น ไม่ต้องรอ ขอเพียงนั่งนิ่งๆอยู่กับความวิเวก โลกจะเผยตน
ต่อคุณอย่างอิสระ" ดังนั้นแล้วเราเพียงปฏิบัติโดยไม่ต้องปฏิบัติสิ่งใดเลย
เพียงรอคอยโดย ไม่ต้องรอคอยสิ่งใด แล้วความวิเวกจะมาสู่เราอย่างช้าๆ
หากเพียงเราสงบอยู่กับความเรียบง่ายแห่งปัจจุบัน
และปล่อยให้ความเงียบสงบอันเฉื่อยช้า ได้เปิดเผยวิทยาความรู้แห่งผืนโลก
ที่เราไม่เคยแม้จะเหลียวมองมัน ด้วยย่างก้าวที่แสนจะรวดเร็วของตัวเอง
หากเพียงในมุมหนึ่งของชีวิตท่ามกลางโลกปัจจุบัน
เราพร้อมที่จะปลดปล่อยให้ความเงียบได้หลั่งรินเข้ามาเพื่อชำระล้างความป่วยไข้ของตัวเราเอง
เมื่อนั้นความเงียบสงบอันงดงามจะได้เยียวยาให้กับเรา
ซิกมันด์ ฟรอยด์ บอกว่า จะเจอจิตได้ก็ต่อเมื่อสมองหยุดการนึกคิด
การไปนอน และเกิดการหลับลึก ช่วงเวลานั้นจิตจะออกมาทำงาน
มาวันนี้ ลูกๆ รู้แล้วว่า ณ ขณะหลับ มีจิต (จักรวาล)
ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราไม่หลับ มันออกมา
ถ้าจับมันได้ มันจะช่วยเรา ซิกมันด์ ฟรอยด์ รู้แค่นี้
แต่พระพุทธเจ้ารู้มากกว่า และรู้มาก่อน ว่าถ้าจับมันได้
มันจะสร้างความเป็นอัจฉริยะ และมอบความรู้พิเศษให้กับนักเรียน
ความรู้พิเศษที่มีต่อการลงทุน การทำงาน แบบที่ไม่ต้องมีคนมาสอน
ทำให้ลูกๆ เข้าใจ การตลาดอย่างแจ่มแจ้ง
พูดกับตัวเองเหมือนเรากำลัง พูดกับคนที่เรารักมาก
ขณะพูดทำความรู้สึกดียอดเยี่ยมลงไปทั่วทั้งร่างกายด้วย
จักรวาลรู้ดีว่าเราเป็นที่รักตลอดมา
จักรวาลรู้ดีว่าเราเป็นที่รักตลอดมา
จักรวาลรู้ดีว่าเราเป็นที่รักตลอดมา
จักรวาลรู้ดีว่าเราเป็นที่รักตลอดมา
จักรวาลรู้ดีว่าเราเป็นที่รักตลอดมา
จักรวาลรู้ดีว่าเราเป็นที่รักตลอดมา
จักรวาลรู้ดีว่าเราถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ
จักรวาลรู้ดีว่าเราถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ
จักรวาลรู้ดีว่าเราถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ
จักรวาลรู้ดีว่าเราถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ
จักรวาลรู้ดีว่าเราถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ
จักรวาลกำลังจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อยดีที่สุด
จักรวาลกำลังจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อยดีที่สุด
จักรวาลกำลังจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อยดีที่สุด
จักรวาลกำลังจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อยดีที่สุด
จักรวาลกำลังจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อยดีที่สุด
พอรู้สึกดียอดเยี่ยมมีพลังแล้ว ลงมือสร้างสรรค์ทำชีวิตให้มหัศจรรย์ต่อเลย
ไอน์สไตน์คิดกับเรื่องมวลสารที่มีความสามารถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสงทุกลมหายใจเข้าออก
แต่คิดอย่างไร ก็มืดแปดด้าน จนมาเจอการค้นพบของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เรื่องจิตที่ซ่อนอยู่ในตัวคน ทำให้ไอน์สไตน์นึกถึงอนุภาคที่เล็กที่สุด
เล็กถึงขนาดที่จับต้องไม่ได้ ไม่มีตัวตน อย่างจิต
ว่าจิตนี่แหละมีคุณสมบัติที่เคลื่อนตัวเร็วเท่าแสงได้
ไอน์สไตน์จึงตั้งต้นจากเรื่อง จิต
ที่เชื่อว่าเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุด จับต้องไม่ได้
ซ่อนอยู่ในตัวคนตรงที่ว่างและความเงียบ ว่าจิตในตัวคนนี่แหละจะใช้อธิบายการทำงานของทฤษฎีสัมพัทธภาพได้
พุทธศาสนาจึงถูกศึกษาโดยไอน์สไตน์ทันที เพราะไอน์สไตน์รู้ว่า
พระพุทธเจ้าบัญญัติวิธีการระลึกชาติ ผ่านการฝึกสมาธิและสติ
ว่าคนเราสามารถระลึกชาติได้ ถ้าจิตได้รับการฝึก
และการระลึกชาติได้เป็นเรื่องของความรู้อันยิ่งยวดเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจ
(อภิญญา)
จิตที่ได้รับการฝึก จึงเกิดความรู้พิเศษขึ้นมาได้
ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ยังค้นไม่เจอจิต
ไอน์สไตน์ ไม่เคยให้ความสำคัญกับศาสนาทุกศาสนา แต่พอ ซิกมันด์
ฟรอยด์ เจอจิตที่พระพุทธเจ้าบอกเอาไว้ก่อนหน้าเมื่อ 2,600 ปี
ไอน์สไตน์จึงทึ่ง และบอกกับตัวเองว่า
จิตที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ว่าอยู่ในตัวคนถูกพิสูจน์แล้วว่า มีอยู่จริง
อนุภาคที่เล็กที่สุดมีอยู่จริง และเมื่อมันไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้
มันก็ต้องมีความสามารถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสงได้
และไม่เพียงที่มันจะเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสง มันยังมีความสามารถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วเกินแสงได้อีกด้วย
ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เวลาย้อนกลับ พาให้คนๆนั้นระลึกชาติได้
เมื่อไอน์สไตน์เข้าใจถึงตรงนี้
ไอน์สไตน์จึงปาฐกถาครั้งใหญ่ต่อหน้าคนเป็นพันว่า
หากจะให้ตัวเขาเลือกนับถือศาสนาใดบนโลกใบนี้ เขาขอเลือกนับถือศาสนาพุทธ
เพราะศาสนาพุทธอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาได้ (ไอน์สไตน์เป็นคนยิว)
เพราะไอน์สไตน์พีอาร์ศาสนาพุทธนี่แหละ ชาติตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกาจึงแห่เข้ามาศึกษาพระไตรปิฎก
แล้วย่อยเอาไปผสมกับวิชาจิตวิทยา และการบริหารธุรกิจของฝ่ายตะวันตก สร้างตำราที่นักเรียนเห็นอยู่ทั่วไป
ที่มีชื่อบนหน้าปกว่า พลังแห่งจิตใต้สำนึก พลังแห่งปัญญา ฯลฯ
หนังสือในสไตล์นี้อธิบายจิตที่ซ่อนอยู่ในตัวคน
หากคนฝึกสติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ อย่างฝึกอานาปานสติ คนจะเริ่มรู้จัก
เห็น และเชื่อ ว่าจิตมีอยู่จริงในกาย คนจะเริ่มรู้สึกและสัมผัสได้
ถึงการมีที่ปรึกษาที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอและมีได้
ที่ปรึกษาที่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา อยู่กับเรามาโดยตลอด และหากศึกษาดีๆ
จะพบว่าที่ปรึกษา (จิต….จักรวาล)
นี้อยู่กับเรามาก่อนที่เราจะเกิดมาเป็นคนซะด้วยซ้ำ สมองซีกขวา สติ น่าอัศจรรย์ขนาดไหน..เพราะมันเก็บอะไรๆไว้มากมายแล้วยังไปกับเราข้ามภพข้ามชาติได้อีกแน่ะ.....
Concentrate on the moment…. Feel …Don’t think…Use your instinct
ขึ้นชื่อว่าที่ปรึกษาก็แน่นอนว่า ต้องให้ข้อคิดเห็น
ให้คำแนะนำเรื่องที่ถูก เรื่องที่ดี เรื่องที่ควรทำได้ คนแต่ละคนมีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในตัวเอง
เกิดมาเพื่อพัฒนาสิ่งดีๆในตัวเองนี้ ดึงมันออกมาใช้ทำประโยชน์ให้โลก
ทำประโยชน์ให้ตัวเอง มีชีวิตอย่างมีคุณค่ามีความหมาย แล้วโลก ก็ตอบแทนเป็นความสุข
ความรัก ความสำเร็จ ความรู้สึกพึงพอใจในชีวิต
ที่เรารู้สึกอยากตื่นขึ้นมาแต่เช้าทุกวัน มีพลังจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำ
เราทุกคนมีสิ่งดีงามที่สุดอยู่ในตัว ความท้าทายต่างๆมาเพื่อเจียรไน สิ่งที่ดีที่สุดในตัวเราให้เปิดเผยออกมา
ให้เวลากับสิ่งพิเศษในตัวเอง
ให้หัวใจเรามีรอยยิ้ม
มีความสุขกับการสร้างสรรค์สิ่งดีๆไว้ในโลกนี้เพราะเราเองที่ได้รับประโยชน์รับความสุขทันที สร้างแต่ละวันให้เป็นวันที่ยอดเยี่ยม มีความสุข มีพลัง อิ่มใจ ร่มเย็นทุกวัน
ชีวิตเป็นของเรา เลือกชีวิตอย่างรู้ตัว เลือกสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์มาใช้ ให้เราเป็นเราที่ดีที่สุด ยิ่งกว่าที่เราเคยคิดว่าเราสามารถเป็น ทำให้ตัวเองประหลาดใจ กับสิ่งดีๆยิ่งใหญ่ที่เรามอบให้โลกนี้ได้
เป็นเราที่ดีที่สุดที่เราเป็น
เราทุกคนมีสิ่งดีงามที่สุดอยู่ในตัว ความท้าทายต่างๆมาเพื่อเจียรไน สิ่งที่ดีที่สุดในตัวเราให้เปิดเผยออกมา
ให้เวลากับสิ่งพิเศษในตัวเอง
ให้หัวใจเรามีรอยยิ้ม
มีความสุขกับการสร้างสรรค์สิ่งดีๆไว้ในโลกนี้เพราะเราเองที่ได้รับประโยชน์รับความสุขทันที สร้างแต่ละวันให้เป็นวันที่ยอดเยี่ยม มีความสุข มีพลัง อิ่มใจ ร่มเย็นทุกวัน
ชีวิตเป็นของเรา เลือกชีวิตอย่างรู้ตัว เลือกสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์มาใช้ ให้เราเป็นเราที่ดีที่สุด ยิ่งกว่าที่เราเคยคิดว่าเราสามารถเป็น ทำให้ตัวเองประหลาดใจ กับสิ่งดีๆยิ่งใหญ่ที่เรามอบให้โลกนี้ได้
เป็นเราที่ดีที่สุดที่เราเป็น
สาเหตุก็เป็นเพราะ จิตที่โผล่ออกมาในขณะที่สมองหยุดการคิดนึก แล้ว
ลูกๆ รู้จักและจับจิตได้ในความรู้สึกของ ลูกๆ (เกิดภาวะระลึกรู้ตัวอยู่ตลอด
ทำให้ความโลภ โกรธ หลง วิตกกังวล ฟุ้งซ่าน ทุกข์ใจ ไม่สบายใจ ฯลฯ หายไป) พาให้
ลูกๆ รู้จักตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆ เป็นเหตุให้ ลูกๆ รู้จักผู้อื่น
มีความสามารถที่จะอ่านใจคนอื่นออก
ตรงอ่านใจคนอื่นออกนี่แหละ จะเป็นการอ่านใจที่ ลูกๆ ไม่ได้คุยกับคนอื่นแบบปะทะปากต่อปาก
หรือต้องเผชิญหน้าอย่างเห็นกันจะๆ ว่าไอ้นี่หน้าตาเป็นอย่างไร เช่น แค่ ลูกๆ อ่านข่าว
สามารถวิเคราะห์ ไม่ใช่ด้วยสมอง แต่มาจากความรู้สึก ซึ่งเป็นอาการที่จิตแสดงออก นี่คือวิทยาศาสตร์ทางจิต
ที่จิตสื่อรู้ถึงกันได้ ถือเป็นความรู้ (อภิญญา) ที่เกิดจากการทำงานของจิต หลังจากที่สมองหยุดคิดมานาน
และ ลูกๆ จับจิตเจอแล้ว
การหยุดคิด จึงพาให้จิตโผล่ขึ้นมาทำหน้าที่ที่ปรึกษา
โดยจิตจะโผล่ออกมาพร้อมกับสติที่ระลึกรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา
พาให้เกิดการรู้จักตัวเอง และทำให้รู้จักและอ่านใจผู้อื่นได้
ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์บวกกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์
ฟรอยด์ ที่ยืนยันการเจอจิตที่ซ่อนอยู่ในกาย และจิตนี้มีอิทธิพลเหนือสมอง
ทำให้ไอน์สไตน์ค้นพุทธศาสนาที่พูดถึงเรื่องจิตมาก่อนหน้าที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ จะค้นเจอ 2,600 ปีก่อน
พระพุทธเจ้าบอกความจริงที่พระองค์ยืนยันว่าจริง 1,000,000% นั่นก็คือคนประกอบด้วยกายกับจิต
เมื่อคนตาย กายก็จะเน่าเปื่อยคืนสู่ดิน ธาตุน้ำ ได้แก่ น้ำเลือด
น้ำเหลือง ไหลคืนสู่น้ำ ธาตุไฟ ได้แก่ ความร้อนในร่างกาย คืนสู่ดวงอาทิตย์ ธาตุลม
ได้แก่ ลมหายใจคืนสู่อากาศ ตัวคนจึงไม่มีอยู่จริง
หากจะมีอยู่ก็เป็นเพียงสิ่งสมมติในเศษเสี้ยวของกาลเวลา
ซึ่งอีกไม่นานก็จะสลายหายไปตามที่อธิบายตะกี้นี้ ส่วนจิตที่เป็นนามธรรมที่
ซิกมันด์ ฟรอยด์ ค้นเจอทีหลังนั้น จะไม่สลายหายไป จิตที่ทำหน้าที่ต่ออาการเวทนา
(รู้สึกสุขทุกข์) ต่ออาการสัญญา (ความจำได้หมายรู้) ต่ออาการสังขาร
(การปรุงแต่งทางความคิด) และต่ออาการวิญญาณ (ความรับรู้)
จะเคลื่อนตัวหาที่อยู่ใหม่ (ร่างใหม่) หลังกาย (ดิน น้ำ ไฟ ลม) แตกดับ
คนจึงกลับมาใหม่ในร่างใหม่ได้ (มีการเกิดใหม่) การตายไม่มีอยู่จริง
เป็นแค่การเปลี่ยน form ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อจิตถูกฝึก จิตจึงมีความไว
(เคลื่อนตัว) ด้วยความเร็วแสงและเกินแสงได้ ทำให้คนเห็นเรื่องราวในอดีตชาติ
(ระลึกชาติ)
จิตที่ถูกฝึก จะถูกฝึกในสมาธิ คือ ให้จิตจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เช่น เพ่งมองรูปภาพ มองลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งไปมาอย่างช้าๆ หรือถูกฝึกในสติ คือ
ตามคำว่า พุทโธ ที่ท่องอยู่ในใจ ตามลมหายใจเข้าและออกไปเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า
อานาปานสติ ที่ระหว่างตามลมหายใจ สมองของ ลูกๆ จะคิดอะไรไม่ได้
ไม่เชื่อขอให้ ลูกๆ ทดลองดู
หลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตามรู้ว่าเรากำลังหายใจเข้าลึกๆ
หลังจากนั้นผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ และตามรู้ว่าเรากำลังหายใจออก
หลังจากนั้นทำซ้ำ โดยมีการตามรู้อาการหายใจเข้าและออกไปเรื่อยๆ ลูกๆ จะพบความจริงว่า
การตามรู้ลมหายใจเข้าและออก (อานาปานสติ) จะทำให้สมองของนักเรียนหยุดการนึกคิด
มันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ
มาถึงตรงนี้ที่ ลูกๆ ทดลองด้วยตัวเองแล้ว และยอมรับโดยสดุดีแล้วว่า
การตามลมหายใจเข้าออก ทำให้สมองหยุดคิด พ่อ ก็อยากให้ ลูกๆ ลองนึกเปรียบเทียบกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่ว่า จิตจะออกมาทำงานได้ ก็ต่อเมื่อสมองหยุดการทำงาน
ดังนั้น ช่วงเวลาที่คนเราหลับลึก จิตจะไม่หลับ จิตจะออกมาทำงาน
อานาปานสติในขณะตื่นอยู่สามารถทำให้สมองหยุดคิดได้ พาให้จิตออกมาทำงานได้ถี่และเร็วขึ้น
ถ้าลูกๆ
อานาปานสติอยู่บ่อยๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภายในของตัวนักเรียน
กระบวนการเปลี่ยนแปลงในภายใน
อันเนื่องจากนักเรียนหาวิธีพาให้จิตออกมาทำงานได้ถี่และเร็วขึ้น (อานาปานสติบ่อยๆ)
จะทำให้ลูกๆ เกิดความรู้อันยิ่งยวดเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะรู้ได้
ในทางพุทธศาสนาเรียกความรู้นี้ว่า อภิญญา
และอภิญญาข้อที่ระลึกชาติได้ ก็เป็นเรื่องของจิตที่ถูกฝึกในสมาธิและในสติ
พาให้จิตมีความไว สามารถเดินทางด้วยความเร็วที่เกินแสงได้ ทำให้เวลาย้อนกลับ ภาพยนตร์ในอดีตชาติของ ลูกๆจึงถูกฉายออกมาให้
ลูกๆ ดูได้
ด้วยการฝึกอานาปานสติ
คือตั้งจิตระลึกรู้ตามลมหายใจเข้าและออกอยู่บ่อยๆ อยู่เสมอๆ เมื่อมีเวลาว่าง
จะช่วยให้จิตออกมาทำงาน
ลูกๆ จะเกิดอาการรู้ขึ้นมาเอง (INTUITION) ซึ่งการรู้ขึ้นมาเองถือเป็นอานิสงส์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกสติหรืออานาปานสติ
นั่นเอง พาให้เกิดการหยุดคิด หยุดใช้สมอง แต่ใช้จิตแทน โดยจิตจะเข้าไปกำกับสมอง
และใช้สมองเป็นเครื่องมือเพื่อความรู้
นี่ถือเป็นความรู้ใหม่ที่ ลูกๆ ต้องทดลองเอาไปปฏิบัติ เพื่อจะได้พิสูจน์ว่า
ความคิดอันเฉียบคมในการงาน จะดีขึ้นจริงหรือเปล่า หลังจากที่ ลูกๆ ได้ฝึกอานาปานสติอย่างเอาจริงเอาจัง
(ทำทุกเวลาที่ว่าง)
อานาปานสติ คืออะไร คงบอกกับ ลูกๆ แค่ว่า อานาปานสติคือการกำหนดจิต
ตามรู้ลมหายใจเข้าและออกไปตลอด แบบ ลูกๆ หายใจเข้ายาว ก็รู้ว่ากำลังหายใจเข้ายาว
แบบ ลูกๆ หายใจออกยาว ก็รู้ว่ากำลังหายใจออกยาว แบบ ลูกๆ หายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่ากำลังหายใจเข้าสั้น
แบบ ลูกๆ หายใจออกสั้น ก็รู้ว่ากำลังหายใจออกสั้น
การตามรู้ลมหายใจเข้าออกไปตลอด ในขณะที่ ลูกๆ มีเวลาว่าง
ทำให้สมองหยุดคิดในระหว่างวัน จิตจะออกมาทำงานได้เร็วขึ้น เพราะลูกๆ ตั้งใจจะหาและเจอจิต
(ที่ปรึกษาระดับขงเบ้ง)
ให้ได้เร็ว
จึงใช้การตามลมหายใจเข้าและออกเป็นอุบายในการล่อให้จิตออกมา
ประเด็นตรงนี้ อยากให้ ลูกๆ ใคร่ครวญพิจารณาถึง เรื่องการมีจิตอยู่ในกายของ
ลูกๆ แต่ลูกๆไม่รู้ ไม่รู้ว่ามีอีกที่ปรึกษาที่ซ่อนอยู่ในตัวลูกๆ ทำให้ลูกๆทำอะไรก็เหมือนทำอยู่ลำพังเพียงคนเดียว
ขาดที่ปรึกษาที่เก่งที่สุดคนหนึ่งไป แต่เมื่อลูกๆรู้ว่า มีจิต จักรวาล ที่คือใครที่ลูกไม่รู้จักสามารถจะช่วยเหลือลูกๆได้
ลูกๆจะรู้ขึ้นมาเอง และร้องอ๋อดังๆ ว่า ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ห้ามพึ่งผู้อื่น เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง
ตนแรก คือ คนที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา (จิต จักรวาล) ตนที่สอง คือ
ตัวเราที่มีลมหายใจอยู่
คนที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา จะออกมาทำงานได้ภายใต้เงื่อนไขอะไร คำตอบก็คือ ทำให้สมองหยุดคิด
ด้วยวิธีอานาปานสติ
หลังจากอานาปานสติไปนานๆ นานจนกลายเป็นนิสัย ว่างเมื่อไหร่ก็ตามรู้ลมหายใจ
ลูกๆ จะเกิดความรู้ใหม่
ความรู้อันยิ่งยวดเกินกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้ (อภิญญา)
ที่รู้ขึ้นมาเอง อย่างการรู้จักตัวเองมากขึ้น โดยที่เรารู้ด้วยตัวเอง เช่น ตัวเองมีพุงในวันแรกเมื่อไหร่
แต่ที่แน่ๆ ทุกคนรู้สึกว่า วันหนึ่งตัวเองก็รู้สึกในจิตอย่างแจ่มชัดว่า กูอ้วนแล้ว
แต่ไม่รู้หรอกหรือจำไม่ได้ ว่าวันแรกที่อ้วน (มีพุง) เป็นวันไหนในอดีต
การจำวันแรกว่าตัวเองมีพุงไม่ได้ เป็นอาการเดียวกับที่ลูกๆ ก็จะจำวันแรกที่ได้อานิสงส์
เจอจิต ที่ปรึกษา
กายดับ จิตไม่ดับ จิตจะเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานที่มีส่วนประกอบ 4 ส่วน
ได้แก่ เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจำได้หมายรู้) สังขาร (ความคิดปรุงแต่ง)
และวิญญาณ (การรับรู้อารมณ์)
การดับ ก็คือ ร่างกายแตกสลายสู่การเป็น ธาตุ 4 ได้แก่
ดิน น้ำ ไฟ ลม คืนสู่ธรรมชาติไป ส่วนจิตไม่มีตัวตน
จึงเคลื่อนตัวด้วยความไวแบบเหนือกาลเวลาที่วัดกันตามเข็มนาฬิกา
หาร่างใหม่ที่จะต้องเกิดเป็นคนอีกหน โดยการเกิดเป็นคน จะเกิดมาพร้อมกับเวทนา สัญญา
สังขาร และวิญญาณเดิม
ตรงนี้อยากให้ ลูกๆ นึกถึง น้ำระเหยกลายเป็นไอ (ก๊าซไฮโดรเจน 2 ส่วน
และออกซิเจน 1 ส่วน) หลังจากนั้นเมื่อสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ไฮโดรเจนและออกซิเจนก็รวมตัวกันกลายกลับมาเป็นน้ำใหม่
(สสารรวมถึงคนจึงไม่หายไปไหน รอวันกลับมาใหม่)
ไอน์สไตน์จึงบอกว่า มวลสารเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน
และพลังงานก็เปลี่ยนกลับมาเป็นมวลสารอยู่ตลอดเวลา
ลูกๆ ลองสังเกตตัวเองดู
(1) ทำไมลูกๆชอบ ไม่ชอบเลี้ยงสัตว์
(2) ทำไมลูกๆชอบ ไม่ชอบปลูกต้นไม้
(3) ทำไมลูกๆชอบฟังเสียงกีตาร์โปร่ง
ชอบดนตรีอคูสติก ไม่ชอบดนตรีร็อค
(4) ทำไมลูกๆชอบเที่ยวป่า ไม่ชอบเที่ยวทะเล
(5) ทำไมลูกๆเห็นผู้หญิงคนนี้ (ผู้ชายคนนี้)
แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเคยเจอเธอ (เขา) มาก่อน
(6) ทำไมลูกๆเห็นคนคนนี้
แล้วรู้สึกถึงความเป็นศัตรู ไม่อยากอยู่ใกล้ และคบค้าสมาคมด้วย
(7) ทำไมลูกๆจึงชอบสะสมนาฬิกา ชอบกินอาหารไทย
ชอบดูลิเก ทั้งๆ ที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว
(8) ทำไมลูกๆจึงมีสไตล์การแต่งกายเป็นของตัวลูกๆเอง
ที่แต่งออกมาแล้ว รู้ว่าเป็นตัว ของ ลูกๆ
(9) ทำไมลูกๆรู้สึกผูกพันกับสถานที่บางแห่ง
เกิดความรู้สึกว่าลูกๆเคยมาที่นี่ หรือเคยอยู่ที่นี่มาก่อน ทั้งๆ ที่ไม่เคยอยู่
(10) ทำไมลูกๆจึงเจอคนรักคนนี้ได้
มันแสนมหัศจรรย์ และเหลือเชื่อจริงๆ
(11) ทำไมลูกๆต้องกลับไปเที่ยวที่เดิมซ้ำๆ
แล้วรู้สึกผูกพัน
ฯลฯ
ทั้งหมดเป็นผลงานของจิตที่ยังคงแสดง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ตามเวทนาเดิม สัญญาเดิม สังขารเดิม และวิญญาณเดิม (ชาติก่อน)
จวบจนลูกๆรู้จักจิตและจับจิตเจอได้ จิตจะทำการพัฒนาตัวเอง
คลอดความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
ในมรรคมีองค์แปดข้อแรก ทำให้ลูกๆทำอะไรก็ถูกไปซะทั้งหมด อาการลังเลสงสัย อาการสับสนจะหายไป
อาการโลภ โกรธ หลง ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อาการขี้สงสารคน มีเมตตาสูงจะเกิดขึ้นกับลูกๆ
อาการอยากอวด อยากโชว์ อยากให้คนยอมรับจะหายไป เหลือแค่เพียงอาการที่ลูกๆอยากให้ตัวเองยอมรับตัวเอง
ลูกๆจึงรู้สึกว่า อยู่คนเดียวมีความสุขมากกว่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แต่ลูกๆก็ไม่สามารถจะปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวได้
สาเหตุเพราะเมื่อจิตได้รับการพัฒนา จากจิตเดิมที่ถูกปล่อยปละละเลย
กลายมาเป็นจิตเดิมที่ได้รับการพัฒนามากขึ้น และอยู่ในสายตาของลูกๆตลอดเวลา
จิตเดิมที่ถูกจับได้นี้ก็ถึงเวลาที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือลูกๆแบบเต็มที่
ผลลัพธ์ของการช่วยเหลือลูกๆโดยจิต เพราะจิตถูกจับได้
จิตจะตรงรี่เข้าไปควบคุมสมอง และใช้สมองเป็นเครื่องมือ
คลอดความรู้ที่เป็นสัจจะที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา อีกทั้งยังฉายภาพของอนาคตให้ลูกๆเห็นในใจอีกด้วย
ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ลูกๆเตรียมตัว
เตรียมการอย่างเต็มที่ในวันนี้ เพื่อจะต้อนรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง ลูกๆจึงสำเร็จ
ร่ำรวย ไงล่ะ
หากจะเปรียบสมองเป็นม้า ที่ไม่มีจ๊อกกี้ (คนขี่ม้า)
ม้านี้ก็เปรียบได้กับม้าป่า วิ่งสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ชีวิตของนักเรียนจึงมีแต่เรื่องวุ่นวาย
สับสน และยุ่งเหยิงเป็นที่สุด ปะเดปะดังเข้ามาด้วยเรื่องห่าเหวไร้สาระ
ที่ลูกๆ มองว่าเป็นสาระ ซึ่งจริงๆ แล้วล้วนแต่ไร้สาระทั้งนั้น
ทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ลูกๆทำลงไปก็เพื่อตัวลูกๆเอง
ลูกๆกำลังอยู่ในอาการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ลูกๆ จึงขาดอิสระ ขาดเสรีภาพ
มีชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบไม่เคยเป็นตัวของตัวเอง พอวันที่จิตถูกจับได้ จิตก็ยอมจำนน
และรู้ตัวทันทีว่า ต้องทำหน้าที่เดี๋ยวนี้ ซึ่งหน้าที่ของจิตก็คือ จ๊อกกี้
(คนขี้ม้า)
ทันทีที่จ๊อกกี้ (จิต) กระโดดขึ้นไปคร่อมหลังม้า (สมอง)
จ๊อกกี้ก็ควบม้าเข้าสู่เส้นชัยแบบไม่มีทางยอมให้ม้าวิ่งสะเปะสะปะอีกต่อไป
ถึงตรงนี้นักเรียนคงเห็นภาพชัดแล้ว ว่า ม้าที่ไม่มีคนขี่ กับ ม้าที่มีคนขี่ที่เป็นถึงจ๊อกกี้
มันวิ่งต่างกันอย่างไร
ความสำเร็จ (รวย) จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ เพราะทำอะไรก็สำเร็จ ก็รวย
เพราะลูกๆ เกิดสัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา
เริ่มต้นจากการหยุดคิด ด้วยการฝึกอานาปานสติ
หลังจากนั้นจะเกิดภาวะที่รู้อะไรๆ ขึ้นมาเอง (INTUITION) เป็นความรู้ที่มาพร้อมกับการรู้จักตัวเอง พาลพาให้รู้จักผู้อื่น
สามารถอ่านใจ ที่เขาว่า "จินตนาการ"
สำคัญกว่า "ความรู้"
ถ้าเราไปถามนักเขียนชั้นนำสักคนว่า
เขาจบอักษรศาสตร์หรือไม่ มีความรู้ทางด้านนี้แค่ไหน จะได้รับคำตอบว่า
ผมไม่มีความรู้ทางด้านอักษรศาสตร์ แต่ผมเขียนไปตามจินตนาการและความรู้สึก
เช่นเดียวกัน ลองไปถาม เจ้าของบริษัทใหญ่ๆ ที่เริ่มต้นมาจากเสื่อผืนหมอนใบว่า มีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ มากแค่ไหน เขาจะตอบว่าจบแค่ ป.4 แต่ที่มาถึงจุดนี้ได้ เพราะจินตนาการภาพแห่งความสำเร็จ
เมื่อเร็วๆ นี้เอง สตีฟ วิลเลียม ซึ่งเป็นแคดดี้ คู่ใจ ของไทเกอร์ วู๊ดส์ มาตลอดสิบปี ออกมาตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมไทเกอร์ วู๊ดส์ ถึงเล่นกอล์ฟเก่งอย่างมหัศจรรย์ขนาดนี้ เพราะตลอดเวลาที่เป็นแคดดี้อยู่กับไทเกอร์ วู๊ดส์มาสิบปี ไม่เคยเห็นว่า ไทเกอร์ วู๊ดส์ จะมีความรู้ หรือเทคนิคพิเศษในการตีกอล์ฟ เหนือกว่าคนอื่นๆเลย แต่สามารถเล่นได้อย่างชนิดที่เรียกว่า เหนือมนุษย์ สตีฟ วิลเลียมกล่าวอย่างงุนงงว่า ทำไมนักกอล์ฟคนอื่นๆจึงไม่สามารถทำได้อย่างไทเกอร์
ไทเกอร์ วู๊ดส์ เอง ก็เคยให้คำตอบแล้วว่า เขาไม่ได้ซ้อมหนัก ไม่ได้มีความรู้เรื่องกอล์ฟ อะไรมากมาย แต่ที่เขาเล่นได้แบบนี้ เพราะจินตนาการ ผมแค่จินตนาการว่าลูกมันลงหลุมไปก่อนแล้ว จึงค่อยตีตามลงไป
ในหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต บอกว่า ถ้าสามารถสร้างภาพแห่งความสำเร็จขึ้นในจินตนาการได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกนั้น จะดึงดูดให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตามมาได้อย่างอัตโนมัติ
ลองไปถามศิลปินระดับอัจฉริยะ ว่าวาดภาพงดงามขนาดนั้น ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน เขาจะงงกับคำถาม เพราะในความรู้สึกคือ มันไม่ต้องพยายามเลย เพราะเขาวาดมาจากภาพแห่งความรู้สึก
ขณะที่ภาพแห่งความสำเร็จในใจชัด จะเกิดแรงบันดาลใจ และด้วยแรงนี้ จะทำให้เกิดพลังลึกลับ ที่มาจากจิตใต้สำนึก ซึ่งมีขุมกำลังซ่อนอยู่มหาศาล พลังนี้สามารถเอาชนะ อุปสรรคทั้งปวงได้
ก่อนที่ไอน์สไตน์จะคิดทฤษฎีสัมพัทธภาพได้ ขณะนั้น นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆรู้มาก่อนแล้วว่า การเคลื่อนที่ของแสงขัดกับกฎของนิวตัน เพราะความเร็วแสงคงที่เสมอ แต่เหตุที่พวกเขาคิดทฤษฎีสัมพัทธภาพไม่ได้ เพราะ ขาดจินตนาการ เดอะท็อปซีเคร็ตบอกว่า จิตใต้สำนึก จะเข้าใจภาพในจินตนาการเท่านั้น เพราะมันไม่มีส่วนเชื่อมต่อกับทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้น ไม่ว่าคุณเห็นอะไร แต่ไม่ได้เอามาจินตนาการต่อ ความรู้นั้นจะอยู่แค่ในระดับจิตสำนึก พลังจากจิตใต้สำนึกจะไม่มีวันผุดขึ้นมาช่วยคุณได้เลย …