12/31/2011

สวดมนต์ข้ามปีส่งท้าย 31 ธันวาคม 2554-สู่ 1มกราคม 2555


สวดมนต์ข้ามปีส่งท้าย31 ธันวา-สู่ 1มกราคม 2555
 
อะไรจะดีไปกว่าการนำพาชีวิตของเราไปพบเจอแต่สิ่งดี ๆ ตั้งแต่ต้นปี ยิ่งเฉพาะใน "วันปีใหม่" วันแห่งความเป็นสิริมงคล
มองย้อนไปในปีที่ผ่าน ๆ มา หลายคนเคยรู้สึกไหมว่า เราสูญเสียเวลาอันมีค่าไปกับการทำร้ายตัวเอง ในแบบรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ที่เห็นชัดก็คือช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างท้ายปีเก่ากับการเริ่มต้นปีใหม่ ภาพในวันวานที่ทุกบ้านพากันสวดมนต์ เข้าวัดทำบุญ พร้อมกับขอพรจากพระจากผู้ใหญ่เพื่อความมั่งมีศรีสุขตลอดปี ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา และถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมล้ำสมัย ที่เต็มไปด้วยกิจกรรมสุดแปลกแหวกพิสดาร
ทั้งการฉลองแบบคานิวัล การเต้นติ๊ดฉึ่ง เด้งหน้าเด้งหลัง กิจกรรมเคาท์ดาวสน์ในลานเบียร์ เรียกได้ว่าเมาหัวทิ่มต้อนรับการเปลี่ยนปีพุทธศักราช แล้วจบลงด้วยตัวเลขอุบัติเหตุที่คูณทวีมากขึ้นทุกปี ในแบบตายเป็นหมื่นบาดเจ็บเป็นแสนและถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปสิ่งดีงามแบบไทย ๆ คงสูญสิ้น เพราะเด็กรุ่นใหม่มัวไปมอมเมากับธุรกิจที่มุ่งเน้นหาแต่กำไร
ดังนั้นในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ถึง 1 มกราคม 2554 จึงเป็นอีกครั้ง ที่กิจกรรมน้ำดีอย่าง "สวดมนต์ข้ามปี" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกองทุนสนัยสนุนการเสริมสุขภาพ (สสส.) กับกรุงเทพมหานคร สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) พร้อมด้วยมหาเถรสมาคม (มส.) และหน่วยงานอื่น ๆ กว่า 30 องค์กร จะถูกจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ณ ท้องสนามหลวง และ "พิธีเจริญพระพุทธมนต์ตั้งจิตอธิษฐานถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตั้งมั่นก้าวสู่พุทธชยันตี 2,600 ปี" ก็คือธีมงานแห่งมหามงคลที่ว่านั่น
สวดมนต์ข้ามปีนำพาให้ชีวีดีอย่างไร แล้วจะช่วยให้คนไทยผ่านพ้นเรื่องร้าย ๆ ไปได้จริงหรือไม่?
พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ในฐานะกรรมการ มส.บอกไว้ว่า ใน 365 วัน เราเคยให้ "ใจ" ของเราสงบสุขบ้างไหม? ให้คิดง่าย ๆ ว่าหนึ่งนาทีหัวใจลเต้นเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่รอด 75 ครั้ง หนึ่งชั่วโมงหัวใจเต้น 4,500 ครั้ง หนึ่งวันหัวใจเต้น 108,000 ครั้ง ในหนึ่งปีหัวใจต้องเต้นมาตลอดไม่เคยละเว้นจากหน้าที่สักวัน แต่เราเองต่างหากเคยมอบอะไรดี ๆ ให้แก่หัวใจดวงน้อยของเราบ้าง!!
"หัวใจที่อยู่ข้างใน ไม่ได้ต้องการทรัพย์สินเงินทองของนอกกาย มาประดับตกแต่งให้งดงามเหมือนอวัยวะภายนอก แต่หัวใจต้องการแค่อากาศกับความคิดดีความคิดที่บริสุทธิ์ และเราสามารถมอบวิ่งนั้นให้แก่หัวใจของเราได้ด้วยการสวดมนต์ ใน 365 วัน ไม่ต้องทำทุกวันก็ได้ แค่ 3 ชั่วโมงในช่วงปีใหม่นี้ ก็ช่วยให้ตัวเองและประเทศไทยสงบอบอุ่นจากเสียงสวดพุทธมนต์ที่ดังกึกก้องจักรวาล และยังช่วยปัดเป่าเภทภัยร้ายให้กลายเป็นดีได้อีกด้วย"
อย่างที่ว่า ปีที่ผ่านมาประเทศไทย คนไทยบอบช้ำมามากทั้งร่างกายและจิตใจ ทังเรื่องความขัดแย้งทางความคิด และภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วมที่ไม่สามารถไปห้ามไม่ให้เกิดได้ แต่คนไทยเรานั้นก็มีความอดทน อดออม สู้กับภัยทั้งหลายและผ่านพ้นมาจนถึงวันนี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับคำสอนจากพุทธศาสนาที่เห็นแจ้งว่า คนเราถ้าทนลำบากทาตรากตรำ ทนเจ็บใจได้ เขาว่าเราเป็นผู้ชนะตลอดกาล โดยเฉพาะการชนะใจตนเองจากกิเลส ซึ่งการจะชนะกิเลส ทนลำบาก ตรากตรำ หรือเจ็บใจได้นี้ บุคคลนั้นต้องมีพื้นบานความมั่นคงทางจิตและการสวดมนต์นี้เองจะทำให้ใจจดจ่อไม่ไหเอนต่อสิ่งเร้าได้ง่าย
และไม่ใช่แค่ทางหลักศาสนาเท่านั้น ทว่า ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีการศึกษาพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า อานิสงค์ของการสวดมนต์นั้น จะเกิดพลานุภาพขึ้นแก่ทั้งตัวผู้สวดและสังคมโดยรอบที่ผู้สวดอาศัยอยู่
จากคำเล่าขานของ ศ.นพ. อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ประธานคณะกรรมการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี 2554-2555 สสส.ทำให้ทราบว่า การสวดมนต์นี้นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สวดในแง่ของจิตใจแล้ว ยังมีผลต่อครอบครัวและสังคม รวมถึงประเทศชาติด้วย ซึ่งการร่วมสวดแบบเป็นหมู่คณะจำนวนมากเป็นล้านคนขึ้นไป พลังจิตคิดดีที่มาร่วมกันจะทำให้ชุมชนนั้น ประเทศนั้นปลอดภัยจากอาเพศทั้งหลายทั้งปวง ดังเช่น ชุมชนหนึ่งที่ทุกคนในหมู่บ้านจะมารวมตัวสวดมนต์กันทุกวัน ผลที่ได้คืออาชญากรรรมหรือเภทภัยในพื้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างนยี้แล้ว เราในฐานคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธมานานปีจนกลายเป็นศาสนาประจำชาติ จะไม่ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองดูหน่อยว่าจริงหรือไม่?!? เพราะอย่างน้อยจะได้ลดทอนความตระหนกตกใจกับเสียงลือล่ำถึงเหตุการณ์โลกพินาศในปีหน้า (คศ.2012)
สำหรับผู้ที่สนใจ "สวดมนต์ข้ามปี เริ่มต้นดี ชีวิต ปี 2" รองผู้ว่สราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร
นางทยา ทีปสุวรรณ ได้ร่ายยาวถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นบริเวณท้องสนามหลวงไข่ในหินของกทม.ว่า กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในวันที่ 31 ธ.ค. 2554 ณ สนามหลวง จะเริ่มตั้งแต่ 13.00-01.00 น. โดยมีพระพรหมวชิรญาณเจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และได้นิมนต์พระเถรานุเถระที่ประชาชนให้ความเคารพนับถืออีก 32 รูป มาร่วมเจริญพระพุทธนต์ให้ศีล ให้พรแก่ประชาชนที่มาร่วมงาน อาทิ พระธรรมสิทธินายก เจ้าคณะ กทม. พระธรรมเจดีย์ เจ้าคณะภาค 13 พระเทพคุณำภรณ์ วัดเทวราชกุญชร
นอกจากนี้ ยังมีการอัญเชิญพระพุทธนวราชบพิตร จากหอพระ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อไปประดิษฐานให้ประชาชนได้สักการะที่ท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. 2554-1ม.ค.2555 และพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 185 รูป ในเช้าวันที่ 1 ม.ค.2555 เวลา 07.00 น. พร้อมชมลานนิทรรศการให้ความรู้ ธรรมะคือ
1.ลานพระศรีมหาโพธิ์ประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามพยาธิ ซึ่ง สคล.จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2.ลานพุทธยันตี 2,600 ปี แสดงนิทรรศการประวัติพระพุทธศาสนา
3.ลานสร้างสุข ภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ
4.ลานอิ่มบุญ ร่วมสรงน้ำ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง 9 วัดดังทั่วไทย
5.ลานอิ่มอก อิ่มใจการละเล่นของไทย 4 ภาค ของเล่นแบบธรรมชาติ ชุมชนชาวพุทธ จิตอาสา
6.ลานพุทธศิลป์เป็นการรวมตัวและแสดงงานของศิลปินชั้นนำทั่วประเทศ และ
7.เวทีธรรมะบันเทิง การแสดงศิลปะแบบไทย ๆ
ส่วนใครที่ไม่ใคร่สะดวกมายังท้องสนามหลวงก็ขอให้ไปวัดใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการ แว่ว ๆ ว่าวัดที่เข้าร่วม ณ ตอนนี้เกิน 7,000 แห่งแล้ว และยังไม่รวมถึงวัดในต่างประเทศอีก 300 กว่าแห่ง

ร่วมกิจกรรมที่ถือเป็นการเริ่มต้นปีด้วยสิ่งดีๆ ในปี 2555 ในฐานะปีมหามงคลเพราะเป็นปีพุทธยันตี 2,600 ปี (นับตั้งแต่ระยะเวลาตรัสรู้และเผยแพร่ศาสนา 45 ปี ก่อนเข้าสู่นิพพาน และผนวกเข้ากับระยะเวลาที่ศาสนาพุทธสืบต่อยืนยาวมาถึง 2,555 ปี) แห่งการตรัสรู้ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และยังเป็นการถวายพระราชกุศลแด่พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยกันนะคะ.



ขอบคุณข่าวจาก


No comments:

Post a Comment