9/13/2015

อานาปานสติกับการเล่นหุ้น

อานาปานสติกับการเล่นหุ้น


นับถอยหลังเข้าสู่สิ้นปี (31/12/57) อยากให้นักเรียนใช้เวลาอันมีค่าและมีความหมายมากที่สุดนี้ ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาตลอดปี 57 ว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่นักเรียนรู้สึกดีและภาคภูมิใจไปกับมัน และมีเรื่องอะไรบ้างที่นักเรียนรู้สึกว่า เป็นความผิดพลาด บกพร่อง ซึ่งนักเรียนได้กระทำผิดอย่างซ้ำซาก ถึงขนาดบ่นพึมพำกับตัวเองว่า เอาอีกแล้วกู เจ็บแล้วไม่จำ เฮงซวย สมน้ำหน้า กูไม่น่าเลย ฯลฯ
เสียงที่บ่นพึมพำในใจนี่แหละเป็นยาขนานเอกที่จะช่วยให้ชีวิตของนักเรียนดีขึ้น มันจะไปอยู่ในความทรงจำ เตือนจิตนักเรียนให้ระลึกถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ผ่านมาในอดีต ที่เคยเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก อย่างเหตุการณ์การเล่นหุ้นที่นักเรียนซื้อหุ้นถูกตัว แต่ขายเร็วเกินไป ทำให้วันนี้ยังไม่รวย ยังอยู่ในอาการล้อฟรีเคลื่อนตัวไปข้างหน้า (รวย) ไม่ได้
อย่างเหตุการณ์ที่นักเรียนไม่ยอมซื้อหุ้นตอนที่หุ้นยังไม่ขึ้น ทั้งๆ ที่เล็งเอาไว้ก่อนหน้าตั้งนานแล้ว ว่าจะซื้อแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ซื้อ มาซื้ออีกทีก็ตอนที่ราคาถูกไล่ขึ้นไปสูงแล้ว หลายสิบเปอร์เซ็นต์หรือเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้นักเรียนเสียโอกาสในการทำกำไรไปมาก ไม่เพียงแค่เสียโอกาสในการทำกำไร นักเรียนยังเสียความรู้สึกอีกด้วย
อย่างเหตุการณ์ที่ใจของนักเรียนเกิดอาการลังเลว่า จะซื้อดีหรือไม่ซื้อดี แต่สุดท้ายก็ฝ่าความลังเลเข้าไปซื้อ เพราะเห็นหุ้นกำลังอยู่ในอาการคึก มีคนเข้ามาเล่นเยอะ และมีบทวิเคราะห์ทุกสำนักเชียร์ให้เล่น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ นักเรียนติดหุ้น
อย่างเหตุการณ์ที่นักเรียนลงทุนแบบไม่เหลือสำรอง ทำให้ต้องขายหุ้นในขณะที่หุ้นยังไม่ขึ้น ทำให้นักเรียนเจ๊ง โดยสาเหตุที่ต้องขายก็เป็นเพราะเงินของนักเรียนไม่เย็นพอ และไม่เหลือเงินสำรองเพื่อจับจ่ายใช้สอย มันจึงโดนอีกแล้ว
หลายเหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างมา อยากให้นักเรียนทบทวนว่า ความผิดพลาดบกพร่องที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าไม่เกิดซ้ำซาก อย่างเหตุการณ์ที่ซื้อหุ้นถูกตัว แต่ขายเร็วไป ป่านนี้นักเรียนรวยไปแล้ว
นิ่งๆ ใจเย็นๆ สงบๆ ไม่ตื่นไหวไปกับความโลภในใจ และไม่ตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ของความมืดที่ปกคลุมไปทั่ว ทำให้นักเรียนมองไม่เห็นภาพอนาคต อันเป็นเหตุให้นักเรียนขาดจินตนาการ ที่จริงๆ แล้วมันมีความสำคัญมากกว่าความรู้ พาให้นักเรียนไม่เห็นว่าราคามันจะขึ้นไปถึงที่ใด หรือในทางตรงกันข้าม กรณีหุ้นที่นักเรียนซื้อเอาไว้เกิดตกขึ้นมา นักเรียนก็ไม่เห็นว่ามันจะตกไปถึงที่ราคาใด ทำให้การตัดสินใจถือรอให้ขึ้นต่อไป หรือขายทันทีเพื่อหยุดขาดทุน เป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน
ผมจึงอยากบอกนักเรียนว่า มีวิธีที่สามารถจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เพื่อให้การเล่นหุ้นกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยาก ไม่เกิดอาการลังเลสงสัย ไม่เกิดอาการโลภในใจที่ทำให้แช่หุ้นได้ไม่นาน และทำให้การเล่นหุ้นกลายเป็นกิจกรรมยามว่าง เหมือนทำสวน ปลูกต้นไม้ รอคอยวันที่ต้นไม้ออกดอกและให้ผลอย่างมีความสุข
วิธีที่ว่าของผม ก็คือ นักเรียนต้องฝึกการหยุดคิด
อ่านมาถึงตรงนี้ นักเรียนอาจจะงง ว่าอะไรว่ะ การหยุดคิดเนี่ยนะ จะทำให้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเล่นหุ้นได้ และเมื่อแก้ปัญหาได้ การเล่นหุ้นก็จะเกิดผลเป็นความสำเร็จ

ตอนนี้เครื่องบินใกล้จะออกแล้ว ผมคงไม่มีเวลาเขียนต่อ เอาว่าเครื่องบินลง แล้วว่างเมื่อไหร่ ผมจะเขียนให้นักเรียนเข้าใจต่อก็แล้วกัน

อานาปานสติกับการเล่นหุ้น ตอน 2

แอนนาเป็นหญิงสาวอายุ 20 ต้นๆ เธอปฐมพยาบาลดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัมพาตด้วยความรักและเอาใจใส่ แบบชนิดที่ว่าไม่ใช่ดูแลธรรมดา แต่เป็นการดูแลด้วยความหวัง หวังว่าพ่อของเธอจะต้องหาย พ่อของเธอต้องห้ามตาย
เขียนมาถึงตรงนี้ ไม่รู้นักเรียนนึกภาพออกหรือเปล่าว่า เธอดูแลพ่อแบบเดิมพันด้วยชีวิต แบบว่ามีการพูดกับตัวเองว่า ถ้าพ่อตาย เธอขอตายด้วย
อารมณ์แบบนี้เป็นอารมณ์แบบที่ผมพยายามสอนนักเรียนมาโดยตลอดว่า คนเราต้องทำอะไรอย่างเอาจริงเอาจัง อย่างถ้าจะเล่นหุ้น ก็ต้องบอกกับตัวเองว่า ถ้ารวยไม่ได้กับการเล่นหุ้น จะขอฆ่าตัวตาย อารมณ์แบบนี้นี่แหละ จะทำให้สถานการณ์อิทธิบาท 4 เกิดขึ้นในใจของนักเรียน (ฉันทะ จิตตะ วิริยะ วิมังสา) นักเรียนจะเกิดอาการบ้า เป็นอาการบ้าที่คนภายนอกที่มองเข้ามาเห็นความผิดสังเกตอย่างชัดเจน
นอนน้อย เอาเวลานอนมาศึกษาและวิเคราะห์หุ้น พาให้นักเรียนรู้สึกถึงว่า การเรียนนอกรั้วมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นได้จริง มีเสน่ห์ และได้ผลดีกว่าการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ถูกบังคับให้เรียน พาให้ชีวิตนักเรียนไม่มีเวลาว่างมากอีกต่อไป
พูดน้อย นักเรียนจะเริ่มเกลียดการพูด และเริ่มเกลียดการถามไปพร้อมๆ กัน อยากจะค้นคว้าหาคำตอบต่อเรื่องที่นักเรียนสงสัยด้วยตัวเอง อาการยืมจมูกผู้อื่นหายใจหายไปแล้ว
กินน้อย นักเรียนจะไม่หิวแบบในอดีต เพราะนักเรียนไม่มีเวลาว่างที่จะคิดถึงเรื่องหิว เพราะ ณ ขณะทำงาน จิตเข้าสมาธิ พาให้นักเรียนก้าวข้ามเวลาแบบไม่นึกถึงตัวตน ทำให้เกิดภาวะที่ลืมว่ามีตัวนักเรียนอยู่บนโลกใบนี้ (สมองไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นใดเลย ที่มีตัวนักเรียนเกี่ยวข้องอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ)
เกิดศรัทธาในใจว่า ชาตินี้กูรวยแน่ ไม่มีทางที่จะไม่รวย เพราะกูไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว กูขยันและเอาจริงแบบนี้ จะไม่รวยได้อย่างไร แต่ถ้าหากไม่รวย ก็ไม่เป็นไร จะสนุกสนานกับมัน (หุ้น) ถือว่าขำๆ
ไอ้ศรัทธาที่เกิดขึ้นในใจนี่ มีอาการแปลกๆ แปลกตรงที่ว่า ศรัทธาแรงกล้า แต่ถ้าผิดหวังก็สามารถที่จะปลงและยอมรับกับความไม่สำเร็จได้
ขยันเหลือเกิน ขยันจริงๆ ขยันแบบไม่มีใครต้องมาบังคับ ทำให้นิสัยที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งหายไป ดินที่พอกหางหมูเอาไว้ก็ค่อยๆ ถูกแกะ พาให้เกิดการทำงานได้เสร็จและทันเวลาตลอด ไม่มีเหตุการณ์ที่นักเรียนชอบอ้างว่า ไม่มีเวลา
ไม่อยากมีเพื่อนมากแบบในอดีต เพราะจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกในใจว่า เหล่าผองเพื่อนที่คบอยู่จำนวนมากเป็นบัวใต้น้ำ คบไปก็เสียเวลา ชีวิตของนักเรียนถึงเวลาออกเดินทางไกลเพื่อไปค้นหาขุมทรัพย์ และค้นหาตัวเองไปด้วย ทำให้นักเรียนเลือกเพื่อน และคบเพื่อนน้อยลง
ใจของนักเรียนจะสงบ มีเมตตา และไม่เห็นแก่ตัวแบบในอดีตอีกต่อไป ที่คิดจะทำอะไรก็เพื่อกู เพื่อกู และเพื่อกู มาวันนี้นักเรียนมีอาการเกรงใจคนทุกคนที่นักเรียนเข้าไปรู้จักและเกี่ยวข้อง ด้วย
หลายๆ อาการที่ยกตัวอย่างมานี้ อยากให้นักเรียนลองทบทวนและสังเกตจิตใจของตัวเองให้ดี จะทำให้นักเรียนเกิดความรู้สึกว่า นักเรียนเป็นคนพิเศษที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ก็เพื่อจะประสบความสำเร็จ และรวยกับหุ้นแน่นอน
วกกลับมาเรื่องของแอนนาอีกที สุดท้ายพ่อของเธอตาย หลังจากที่ป่วยเป็นอัมพาตมานาน เธอเสียใจแบบสุดๆ (โคตรของโคตรเสียใจ)
อีกไม่นานต่อมา แอนนาหญิงสาวหน้าตาดี อายุ 20 กว่าๆ ก็เริ่มป่วยเป็นอัมพาต มีอาการแบบพ่อของเธอ
ทีมแพทย์ที่หนึ่งในนั้นมี ซิกมันด์ ฟรอยด์ พยายามหาจุดบกพร่องที่เกิดขึ้นในสมอง แต่หาอย่างไร ก็ไม่เจอสาเหตุ สมองของแอนนาปกติทุกประการ ทำให้ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เครียดอยู่นาน
สุดท้าย ซิกมันด์ ฟรอยด์ ก็เจอ จิต ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้     แอนนาป่วย
จิตที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ บอกว่า ซ่อนอยู่ในกายตรงที่ว่างและความเงียบ มีอยู่จริงๆ จิตนี้ไม่มีตัวตน เป็นนามธรรม มีอิทธิพลเหนือสมอง สามารถเข้าไปควบคุมสมองได้ พาให้แอนนากลายเป็นอัมพาต ดังนั้น การจะรักษาแอนนาให้หาย จะต้องหาตัวจิตนี้ให้เจอ และให้มันเลิกเข้าไปควบคุมสมอง
วิธีสะกดจิตถูกนำมาใช้ แอนนาดีขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแอนนาหายป่วย กลับมาเป็นคนปกติ
ซิกมันด์ ฟรอยด์ ส่งข่าวนี้ไปถึงไอน์สไตน์ บอกกับไอน์สไตน์ว่า เขาเจออนุภาคที่เล็กที่สุด ที่วัดขนาดไม่ได้ จะใช่พลังงาน (E) ตัวเดียวกับที่ไอน์สไตน์เจอในสมการ E = MC2 หรือไม่ก็ไม่รู้ และเขายังบอกเรื่องที่สำคัญมากๆ ว่า จะเจอจิตได้ด้วยวิธีอย่างไร
นักเรียนลองเดาดูซิ ไม่รู้จะเดาออกหรือเปล่า
ซิกมันด์ ฟรอยด์ บอกว่า จะเจอจิตได้ก็ต่อเมื่อสมองหยุดการนึกคิด
การไปนอน และเกิดการหลับลึก ช่วงเวลานั้นจิตจะออกมาทำงาน
มาวันนี้นักเรียนรู้แล้วว่า ณ ขณะหลับ มีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวเราไม่หลับ มันออกมา
ถ้าจับมันได้ มันจะช่วยเรา ซิกมันด์ ฟรอยด์ รู้แค่นี้ แต่พระพุทธเจ้ารู้มากกว่า และรู้มาก่อน ว่าถ้าจับมันได้ มันจะสร้างความเป็นอัจฉริยะ และมอบความรู้พิเศษให้กับนักเรียน
ความรู้พิเศษที่มีต่อการเล่นหุ้น แบบที่ไม่ต้องมีคนมาสอน ทำให้นักเรียนเล่นหุ้นแล้วรวย รวย รวย
ครั้งหน้าจะเขียนเล่าให้ฟังต่อ

อานาปานสติกับการเล่นหุ้น ตอน 3

ไอน์สไตน์รู้ว่า เมื่อวัตถุเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสง วัตถุจะหายไป และเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน (E = MC2)
มวลสารกับพลังงานเปลี่ยนไปเปลี่ยนกลับตลอดเวลา
อย่างมนุษย์ถ้าเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสงได้ ตัวคนจะหายไป พูดอีกอย่างก็คือ ภาวการณ์หายตัวได้จะเกิดขึ้น แต่คนเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสงไม่ได้ คนจึงหายตัวไม่ได้ แต่หากคนเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสงได้ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น
คำตอบก็คือ ตัวคนจะหายไป และเวลาของคนคนนั้นจะหยุดนิ่งและถ้าเหนือขึ้นไปกว่านั้น คือถ้าคนเคลื่อนตัวด้วยความเร็วกว่าแสง อะไรจะเกิดขึ้น
คำตอบก็คือ เวลาจะย้อนกลับ คนจะเห็นอดีตชาติของตัวเองได้ การเห็นอดีตชาติของตัวเองได้ เป็นเรื่องที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพอธิบายไว้
ไอน์สไตน์คิดกับเรื่องมวลสารที่มีความสามารถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสงทุกลมหายใจเข้าออก แต่คิดอย่างไร ก็มืดแปดด้าน จนมาเจอการค้นพบของซิกมันด์ ฟรอยด์ เรื่องจิตที่ซ่อนอยู่ในตัวคน (ย้อนอ่านตอน 2 วันที่ 26/12/57) ทำให้ไอน์สไตน์นึกถึงอนุภาคที่เล็กที่สุด เล็กถึงขนาดที่จับต้องไม่ได้ ไม่มีตัวตน อย่างจิต ว่าจิตนี่แหละมีคุณสมบัติที่เคลื่อนตัวเร็วเท่าแสงได้
ไอน์สไตน์จึงตั้งต้นจากเรื่อง จิต ที่เชื่อว่าเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุด จับต้องไม่ได้ ซ่อนอยู่ในตัวคนตรงที่ว่างและความเงียบ ว่าจิตในตัวคนนี่แหละจะใช้อธิบายการทำงานของทฤษฎีสัมพัทธภาพได้
พุทธศาสนาจึงถูกศึกษาโดยไอน์สไตน์ทันที เพราะไอน์สไตน์รู้ว่า พระพุทธเจ้าบัญญัติวิธีการระลึกชาติ ผ่านการฝึกสมาธิและสติ ว่าคนเราสามารถระลึกชาติได้ ถ้าจิตได้รับการฝึก และการระลึกชาติได้เป็นเรื่องของความรู้อันยิ่งยวดเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจ (อภิญญา)
จิตที่ได้รับการฝึก จึงเกิดความรู้พิเศษขึ้นมาได้
ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ยังค้นไม่เจอจิต     ไอน์สไตน์ ไม่เคยให้ความสำคัญกับศาสนาทุกศาสนา แต่พอซิกมันด์ ฟรอยด์ เจอจิตที่พระพุทธเจ้าบอกเอาไว้ก่อนหน้าเมื่อ 2,600 ปี ไอน์สไตน์จึงทึ่ง และบอกกับตัวเองว่า จิตที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ว่าอยู่ในตัวคนถูกพิสูจน์แล้วว่า มีอยู่จริง อนุภาคที่เล็กที่สุดมีอยู่จริง และเมื่อมันไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ มันก็ต้องมีความสามารถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสงได้ และไม่เพียงที่มันจะเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแสง มันยังมีความสามารถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วเกินแสงได้อีกด้วย ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เวลาย้อนกลับ พาให้คนๆนั้นระลึกชาติได้
เมื่อไอน์สไตน์เข้าใจถึงตรงนี้ ไอน์สไตน์จึงปาฐกถาครั้งใหญ่ต่อหน้าคนเป็นพันว่า หากจะให้ตัวเขาเลือกนับถือศาสนาใดบนโลกใบนี้ เขาขอเลือกนับถือศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาได้ (ไอน์สไตน์เป็นคนยิว)
เพราะไอน์สไตน์พีอาร์ศาสนาพุทธนี่แหละ ชาติตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกาจึงแห่เข้ามาศึกษาเพราะไตรปิฎก แล้วย่อยเอาไปผสมกับวิชาจิตวิทยา และการบริหารธุรกิจของฝ่ายตะวันตก สร้างตำราที่นักเรียนเห็นอยู่ทั่วไป ที่มีชื่อบนหน้าปกว่า พลังแห่งจิตใต้สำนึก พลังแห่งปัญญา ฯลฯ
หนังสือในสไตล์นี้อธิบายจิตที่ซ่อนอยู่ในตัวคน หากคนฝึกสติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ อย่างฝึกอานาปานสติ คนจะเริ่มรู้จัก เห็น และเชื่อ ว่าจิตมีอยู่จริงในกาย คนจะเริ่มรู้สึกและสัมผัสได้ ถึงการมีที่ปรึกษาที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอและมีได้ ที่ปรึกษาที่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา อยู่กับเรามาโดยตลอด และหากศึกษาดีๆ จะพบว่าที่ปรึกษา (จิต) นี้อยู่กับเรามาก่อนที่เราจะเกิดมาเป็นคนซะด้วยซ้ำ (จะเขียนอธิบายในภายหลัง)
ขึ้นชื่อว่าที่ปรึกษาก็แน่นอนว่า ต้องให้ข้อคิดเห็น ให้คำแนะนำเรื่องที่ถูก เรื่องที่ดี เรื่องที่ควรทำได้ นี่ไงล่ะที่ผมบอกว่า เหตุการณ์การเล่นหุ้นเก่งจะเกิดขึ้นได้ เมื่อนักเรียนฝึกการหยุดคิด เพื่อให้จิตออกมาทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับเราได้ แบบไม่ต้องพยายามหาวิธีว่า เล่นหุ้นอย่างไรจะให้เก่ง มันเก่งของมันได้เอง โดยไม่ต้องมีใครสอน สาเหตุเป็นเพราะอะไรนักเรียนรู้หรือเปล่า
สาเหตุก็เป็นเพราะ จิตที่โผล่ออกมาในขณะที่สมองหยุดการคิดนึก แล้วนักเรียนรู้จักและจับจิตได้ในความรู้สึกของนักเรียน (เกิดภาวะระลึกรู้ตัวอยู่ตลอด ทำให้ความโลภ โกรธ หลง วิตกกังวล ฟุ้งซ่าน ทุกข์ใจ ไม่สบายใจ ฯลฯ หายไป) พาให้นักเรียนรู้จักตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆ เป็นเหตุให้นักเรียนรู้จักผู้อื่น มีความสามารถที่จะอ่านใจคนอื่นออก
ตรงอ่านใจคนอื่นออกนี่แหละ จะเป็นการอ่านใจที่นักเรียนไม่ได้คุยกับคนอื่นแบบปะทะปากต่อปาก หรือต้องเผชิญหน้าอย่างเห็นกันจะๆ ว่าไอ้นี่หน้าตาเป็นอย่างไร แค่นักเรียนอ่านข่าว เห็นปริมาณการซื้อขายหุ้น เห็นตัวเลขในงบการเงิน นักเรียนก็สามารถจะรู้ว่า เจ้ามือมันกำลังทำอะไรกันอยู่ พาให้นักเรียนจินตนาการภาพเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตว่าอะไรจะเกิด ขึ้น
อะไรจะเกิดขึ้น คืออะไรจะเกิด
คำตอบก็คือ ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง
คำตอบที่นักเรียนได้ ไม่ใช่มาจากการคิดที่วิเคราะห์ด้วยสมอง แต่มาจากความรู้สึก ซึ่งเป็นอาการที่จิตแสดงออก และสาเหตุที่จิตแสดงออกได้ ก็เพราะจิตอ่านใจเจ้ามือออกนั่นเอง
นี่คือวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่จิตสื่อรู้ถึงกันได้ ถือเป็นความรู้ (อภิญญา) ที่เกิดจากการทำงานของจิต หลังจากที่สมองหยุดคิดมานาน และนักเรียนจับจิตเจอแล้ว
การหยุดคิด จึงพาให้จิตโผล่ขึ้นมาทำหน้าที่ที่ปรึกษา โดยจิตจะโผล่ออกมาพร้อมกับสติที่ระลึกรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา พาให้เกิดการรู้จักตัวเอง และทำให้รู้จักและอ่านใจผู้อื่นได้ ทำให้เกิดการเล่นหุ้นตามเจ้ามือได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ข้อมูลภายในที่เป็นการเอาเปรียบรายย่อยเลย
ครั้งหน้าจะคุยเรื่องนี้กันต่อ

อานาปานสติกับการเล่นหุ้น ตอน 4

ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์บวกกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่ยืนยันการเจอจิตที่ซ่อนอยู่ในกาย และจิตนี้มีอิทธิพลเหนือสมอง ทำให้ไอน์สไตน์ค้นพุทธศาสนาที่พูดถึงเรื่องจิตมาก่อนหน้าที่ซิกมันด์ ฟรอยด์ จะค้นเจอ
2,600 ปีก่อน พระพุทธเจ้าบอกความจริงที่พระองค์ยืนยันว่าจริง 1,000,000% นั่นก็คือคนประกอบด้วยกายกับจิต รวมเรียกว่า ขันธ์ 5 หากทำการแยกส่วน ก็จะเจอ กาย มี 4 ส่วน ได้แก่ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม และหากทำการแยกจิตก็จะเจออีก 4 ส่วน ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
หากรวมเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็จะเรียกว่า ขันธ์ 5 มีความหมายว่า คนมาจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม บวกกับจิต (กายมาจากธาตุ 4 บวกกับจิต 1 ดวง)
เมื่อคนตาย กายก็จะเน่าเปื่อยคืนสู่ดิน ธาตุน้ำ ได้แก่ น้ำเลือด น้ำเหลือง ไหลคืนสู่น้ำ ธาตุไฟ ได้แก่ ความร้อนในร่างกาย คืนสู่ดวงอาทิตย์ ธาตุลม ได้แก่ ลมหายใจคืนสู่อากาศ ตัวคนจึงไม่มีอยู่จริง หากจะมีอยู่ก็เป็นเพียงสิ่งสมมติในเศษเสี้ยวของกาลเวลา ซึ่งอีกไม่นานก็จะสลายหายไปตามที่อธิบายตะกี้นี้ ส่วนจิตที่เป็นนามธรรมที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ค้นเจอทีหลังนั้น จะไม่สลายหายไป จิตที่ทำหน้าที่ต่ออาการเวทนา (รู้สึกสุขทุกข์) ต่ออาการสัญญา (ความจำได้หมายรู้) ต่ออาการสังขาร (การปรุงแต่งทางความคิด) และต่ออาการวิญญาณ (ความรับรู้) จะเคลื่อนตัวหาที่อยู่ใหม่ (ร่างใหม่) หลังกาย (ดิน น้ำ ไฟ ลม) แตกดับ คนจึงกลับมาใหม่ในร่างใหม่ได้ (มีการเกิดใหม่) ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อจิตถูกฝึก จิตจึงมีความไว (เคลื่อนตัว) ด้วยความเร็วแสงและเกินแสงได้ ทำให้คนเห็นเรื่องราวในอดีตชาติ (ระลึกชาติ)
จิตที่ถูกฝึก จะถูกฝึกในสมาธิ คือ ให้จิตจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น เพ่งมองรูปภาพ มองลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งไปมาอย่างช้าๆ หรือถูกฝึกในสติ คือ ตามคำว่าพุทโธที่ท่องอยู่ในใจ ตามลมหายใจเข้าและออกไปเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า อานาปานสติที่ระหว่างตามลมหายใจ สมองของนักเรียนจะคิดอะไรไม่ได้
ไม่เชื่อขอให้นักเรียนทดลองดู
หลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตามรู้ว่าเรากำลังหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ และตามรู้ว่าเรากำลังหายใจออก หลังจากนั้นทำซ้ำ โดยมีการตามรู้อาการหายใจเข้าและออกไปเรื่อยๆ นักเรียนจะพบความจริงว่า การตามรู้ลมหายใจเข้าและออก (อานาปานสติ) จะทำให้สมองของนักเรียนหยุดการนึกคิด มันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ
มาถึงตรงนี้ที่นักเรียนทดลองด้วยตัวเองแล้ว และยอมรับโดยสดุดีแล้วว่า การตามลมหายใจเข้าออก ทำให้สมองหยุดคิด ผมก็อยากให้นักเรียนลองนึกเปรียบเทียบกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ   ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่ว่า จิตจะออกมาทำงานได้ ก็ต่อเมื่อสมองหยุดการทำงาน ดังนั้น ช่วงเวลาที่คนเราหลับลึก จิตจะไม่หลับ จิตจะออกมาทำงาน
อานาปานสติในขณะตื่นอยู่สามารถทำให้สมองหยุดคิดได้ พาให้จิตออกมาทำงานได้ถี่และเร็วขึ้น ถ้านักเรียน                               อานาปานสติอยู่บ่อยๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภายในของตัวนักเรียน
ไม่รู้นักเรียนจำเรื่องที่ผมชอบสอนนักเรียนเรื่องหนอนเปลี่ยนเป็นผีเสื้อได้หรือเปล่า
กระบวนการเปลี่ยนแปลงในภายใน อันเนื่องจากนักเรียนหาวิธีพาให้จิตออกมาทำงานได้ถี่และเร็วขึ้น (อานาปานสติบ่อยๆ) จะทำให้นักเรียนเกิดความรู้อันยิ่งยวดเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะรู้ได้
ในทางพุทธศาสนาเรียกความรู้นี้ว่า อภิญญา และอภิญญาข้อที่ระลึกชาติได้ ก็เป็นเรื่องของจิตที่ถูกฝึกในสมาธิและในสติ พาให้จิตมีความไว สามารถเดินทางด้วยความเร็วที่เกินแสงได้ ทำให้เวลาย้อนกลับ ภาพยนตร์ในอดีตชาติของนักเรียนจึงถูกฉายออกมาให้นักเรียนดูได้
ย้อนกลับมาเรื่องการหยุดคิดที่จะช่วยให้การเล่นหุ้นดีขึ้น ด้วยการฝึกอานาปานสติ คือตั้งจิตระลึกรู้ตามลมหายใจเข้าและออกอยู่บ่อยๆ อยู่เสมอๆ เมื่อมีเวลาว่าง จะช่วยให้จิตออกมาทำงาน
นักเรียนจะเกิดอาการรู้ขึ้นมาเอง (INTUITION) ซึ่งการรู้ขึ้นมาเองถือเป็นอานิสงส์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกสติหรืออานาปานสติ นั่นเอง พาให้เกิดการหยุดคิด หยุดใช้สมอง แต่ใช้จิตแทน โดยจิตจะเข้าไปกำกับสมอง และใช้สมองเป็นเครื่องมือเพื่อความรู้
นี่ถือเป็นความรู้ใหม่ที่นักเรียนต้องทดลองเอาไปปฏิบัติ เพื่อจะได้พิสูจน์ว่า การเล่นหุ้นของนักเรียนจะดีขึ้นจริงหรือเปล่า หลังจากที่นักเรียนได้ฝึกอานาปานสติอย่างเอาจริงเอาจัง (ทำทุกเวลาที่ว่าง)
ยังไม่จบครับ ครั้งหน้าเรามาว่ากันต่อ

อานาปานสติกับการเล่นหุ้น ตอน 5

เขียนเรื่องอานาปานสติกับการเล่นหุ้นมาตั้ง 5 ตอนแล้ว ยังไม่ได้ลงลึกว่า อานาปานสติ คืออะไร คงบอกกับนักเรียนแค่ว่า อานาปานสติคือการกำหนดจิต ตามรู้ลมหายใจเข้าและออกไปตลอด แบบนักเรียนหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่ากำลังหายใจเข้ายาว แบบนักเรียนหายใจออกยาว ก็รู้ว่ากำลังหายใจออกยาว แบบนักเรียนหายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่ากำลังหายใจเข้าสั้น แบบนักเรียนหายใจออกสั้น ก็รู้ว่ากำลังหายใจออกสั้น
การตามรู้ลมหายใจเข้าออกไปตลอด ในขณะที่นักเรียนมีเวลาว่าง ทำให้สมองหยุดคิดในระหว่างวัน จิตจะออกมาทำงานได้เร็วขึ้น เพราะนักเรียนตั้งใจจะหาและเจอจิตให้ได้เร็ว จึงใช้การตามลมหายใจเข้าและออกเป็นอุบายในการล่อให้จิตออกมา
ประเด็นตรงนี้ อยากให้นักเรียนใคร่ครวญพิจารณาถึงเรื่องการมีจิตอยู่ในกายของนักเรียน แต่นักเรียนไม่รู้ ไม่รู้ว่ามีอีกคนที่ซ่อนอยู่ในตัวนักเรียน ทำให้นักเรียนทำอะไรก็เหมือนทำอยู่ลำพังเพียงคนเดียว ขาดที่ปรึกษาที่เก่งที่สุดคนหนึ่งไป แต่เมื่อนักเรียนรู้ว่า มีจิต ที่คือใครก็ไม่รู้สามารถจะช่วยเหลือนักเรียนได้ นักเรียนจะรู้ขึ้นมาเอง และร้องอ๋อดังๆ ว่า ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ห้ามพึ่งผู้อื่น เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง
ตนแรก คือ คนที่สิงอยู่ในตัวเรา (จิต) ตนที่สอง คือ ตัวเราที่มีลมหายใจอยู่
คนที่สิงอยู่ในตัวเรา จะออกมาทำงานได้ภายใต้เงื่อนไขอะไร ขอถามนักเรียนอีกซักครั้ง เพื่อทบทวนความทรงจำ
คำตอบก็คือ ทำให้สมองหยุดคิด ด้วยวิธีอานาปานสติ
หลังจากอานาปานสติไปนานๆ นานจนกลายเป็นนิสัย ว่างเมื่อไหร่ก็ตามรู้ลมหายใจ นักเรียนจะเกิดความรู้ใหม่ หรือหากจะเรียกว่าเกิดอานิสงส์ก็ได้
อานิสงส์ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติมี 10 ข้อ ผมบันทึกเอาไว้ในหนังสือจดหมายถึงลูก ขอคัดเอามาให้นักเรียนได้ศึกษากัน
  1. อดกลั้นต่อความยินดี และความไม่ยินดีได้ ไม่ถูกความไม่ยินดีครอบงำ ย่อมครอบงำความไม่ยินดีที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย
  2. อดกลั้นต่อภัยและความหวาดกลัวได้ ไม่ถูกภัยและความหวาดกลัวครอบงำ ย่อมครอบงำภัยและความหวาดกลัว ที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย
  3. อดทน คือเป็นผู้มีปกติอดกลั้นต่อความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน ต่อทำนองคำพูดที่กล่าวร้าย ใส่ร้าย ต่อเวทนาประจำสรีระที่เกิดขึ้นแล้ว อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ ไม่ใช่ความสำราญ ไม่เป็นที่ชอบใจ พอจะสังหารชีวิตได้
  4. เป็นผู้ได้ฌาน 4 อันเกิดมีในมหัคคตจิต เครื่องอยู่สบายในปัจจุบันตามความปรารถนา ไม่ยาก ไม่ลำบาก
  5. ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ปรากฏตัวหรือหายตัวไปนอกฝา นอกกำแพง นอกภูเขาได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ทำการผุดขึ้นและดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศโดยบัลลังก์เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากปานฉะนี้ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้
  6. ย่อมฟังเสียงทั้งสอง คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ได้ด้วยทิพย์โสตธาตุอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์
  7. ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น และบุคคลอื่นได้ ด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหัคคตะก็รู้ว่าจิตเป็นมหัคคตะ หรือจิตไม่เป็นมหัคคตะก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหัคคตะ จิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตตั้งมั่น หรือจิตไม่ตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น จิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว หรือจิตยังไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตยังไม่หลุดพ้น
  8. ย่อมระลึกถึงขันธ์ ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายสังวัฏกัปบ้าง หลายวิวัฏกัปบ้าง หลายสังวัฏวิวัฏกัปบ้าง ว่าในชาติโน้นเรามีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาการอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้ เรานั้นเคลื่อนจากชาตินั้นแล้ว บังเกิดในชาติโน้น แม้ในชาติโน้นเราก็มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาการอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้ เรานั้นเคลื่อนจากชาติโน้นแล้ว จึงเข้าถึงในชาตินี้ ย่อมระลึกถึงขันธ์ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ เช่นนี้
  9. ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพย์จักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพย์จักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมทราบชัดหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม เช่นนี้
  10. ย่อมเข้าถึง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันภิกษุเสพแล้วโดยมาก เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นฌานแล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้ดำรงอยู่เนืองๆ แล้ว อบรมแล้ว ระดมความเพียรสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ 10 ประการได้ ดังนี้แล
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแลฯ
(ม.อุ. 14/292-317 กายคตาสติสูตร)
อ่านมาถึงตรงนี้ หากอานิสงส์ข้อใดข้อหนึ่ง (บางข้อ) เกิดขึ้นกับนักเรียน นักเรียนก็เป็นคนรวยหุ้นแน่นอน หรือหากนักเรียนไม่เล่นหุ้น นักเรียนทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จทั้งหมด เพราะนักเรียนไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว
ครั้งหน้าจะอธิบายอานิสงส์บางข้อที่นักเรียนจะตีความและเข้าใจผิด อย่างอานิสงส์ข้อ 5 ที่ว่านักเรียนจะแสดงฤทธิ์ได้ตามอ่านต่อครั้งหน้านะครับ

อานาปานสติกับการเล่นหุ้น ตอน 6

ความรู้อันยิ่งยวดเกินกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้ (อภิญญา) ที่รู้ขึ้นมาเอง อย่างการรู้จักตัวเองมากขึ้น ทำให้อ่านใจคนอื่น (เจ้ามือ) ออก พาให้เกิดการซื้อหุ้นตามเจ้ามือได้ จะเกิดขึ้นเมื่อไร คงเป็นเรื่องที่นักเรียนทุกคนอยากรู้
ไม่รู้ว่านักเรียนที่อ่านอยู่ มีใครรู้สึกว่าตัวเองอ้วนบ้าง
นักเรียนที่รู้สึกว่าตัวเองอ้วน ผมอยากถามว่า นักเรียนจำวันแรกที่นักเรียนมีพุงได้หรือเปล่า
คำตอบคือ จำไม่ได้ นักเรียนทุกคนไม่รู้ว่า ตัวเองมีพุงในวันแรกเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ ทุกคนรู้สึกว่า วันหนึ่งตัวเองก็รู้สึกในจิตอย่างแจ่มชัดว่า กูอ้วนแล้ว แต่ไม่รู้หรอกหรือจำไม่ได้ ว่าวันแรกที่อ้วน (มีพุง) เป็นวันไหนในอดีต
การจำวันแรกว่าตัวเองมีพุงไม่ได้ เป็นอาการเดียวกับที่นักเรียนก็จะจำวันแรกที่อานิสงส์ข้อใดข้อหนึ่งใน 10 ข้อเกิดขึ้น (ย้อนอ่านข้อเขียนตอนที่ 5 วันที่ 2/1/58) ไม่ได้ นักเรียนจะอยู่ในอาการที่จู่ๆ นักเรียนก็รู้สึกว่าอานิสงส์ข้อใดข้อหนึ่งใน 10 ข้อเกิดขึ้นกับนักเรียนแล้ว ทำให้นักเรียนเชื่อว่า การหยุดคิดด้วยการทำอานาปานสติสร้างอานิสงส์ให้เกิดขึ้นได้จริง นักเรียนจึงฝึกต่อ เพื่อจะให้อานิสงส์ข้ออื่นๆ เกิดขึ้นเพิ่มเติมตามมาอีก แบบไม่กะเกณฑ์เวลา (ทำลืมๆ ไป) ว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแบบเห็นผลภายในเมื่อนั้นเมื่อนี้ เหมือนการกินที่นักเรียนก็ไม่ปรารถนาว่าจะต้องอ้วน แต่มันอ้วนของมันเอง และก็ไม่รู้ว่าวันที่ 1 ของการเริ่มอ้วนคือวันใด
สรุปความว่า เมื่อฝึกอานาปานสติ อานิสงส์ 10 ข้อเกิดขึ้นได้แน่
ข้ออื่นๆ ใน 10 ข้อ ยกเว้นข้อ 5 (ข้อเขียนตอน 5 วันที่ 2/1/58) ที่บอกว่า นักเรียนจะแสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ปรากฏตัวหรือหายตัวไปนอกฝา นอกกำแพง นอกภูเขาได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ทำการผุดขึ้นและดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศโดยบัลลังก์เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากปานฉะนี้ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้
ข้อนี้หากนักเรียนไม่เข้าใจลึกซึ้ง นักเรียนจะปฏิเสธอานิสงส์ทั้ง 10 ข้อว่าไม่จริงหรอก แต่ผมขออธิบายข้อนี้ให้นักเรียนเข้าใจว่า เป็นเรื่องของความสามารถพิเศษที่จิตฉายภาพยนตร์ให้นักเรียนดู ว่านักเรียนเหาะเหินเดินอากาศได้ โดนยิงก็ไม่ตาย เล่นสนุกๆ กับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แบบนีโอในหนังเดอะเมทริกซ์ ที่ทำเรื่องที่เหลือเชื่อ ในขณะที่ตัวเองนอนอยู่ที่เก้าอี้และถูกเสียบปลั๊กอยู่ แต่ในกรณีนี้ นักเรียนไม่ต้องถูกเสียบปลั๊ก จิตที่สงบมากๆ และมีความไว (ระลึกรู้ตัวตลอดเวลา) จะมีความสามารถสร้างเกมหรือเครื่องเล่นให้นักเรียนเล่นกับตัวเองได้ มันเป็นเครื่องเล่นยามว่าง ที่จิตก็อยากจะสนุก และพาให้นักเรียนสนุกตามไปด้วยในจินตภาพ ไม่ต้องรอให้เกิดขึ้นในความฝัน ว่านักเรียนเหาะได้
หวังว่านักเรียนจะพอเข้าใจ
มาถึงตรงนี้ ผมต้องการให้นักเรียนได้ข้อ 1, 2, 3, 7 (อ่านใจคนออก อ่านใจเจ้ามือออก) แค่ 4 ข้อนี้ นักเรียนก็เล่นหุ้นรวยเละ จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ
ครั้งหน้าจะเขียนถึงเรื่องระยะเวลาที่อานิสงส์เกิดครบ พระพุทธเจ้ามีบอกระยะเวลาเอาไว้

อานาปานสติกับการเล่นหุ้น ตอน 7

กายดับ จิตไม่ดับ จิตจะเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานที่มีส่วนประกอบ 4 ส่วน ได้แก่ เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจำได้หมายรู้) สังขาร (ความคิดปรุงแต่ง) และวิญญาณ (การรับรู้อารมณ์)
การดับ ก็คือ ร่างกายแตกสลายสู่การเป็น ธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม คืนสู่ธรรมชาติไป ส่วนจิตไม่มีตัวตน จึงเคลื่อนตัวด้วยความไวแบบเหนือกาลเวลาที่วัดกันตามเข็มนาฬิกา หาร่างใหม่ที่จะต้องเกิดเป็นคนอีกหน โดยการเกิดเป็นคน จะเกิดมาพร้อมกับเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเดิม
ตรงนี้อยากให้นักเรียนนึกถึง น้ำระเหยกลายเป็นไอ (ก๊าซไฮโดรเจน 2 ส่วน และออกซิเจน 1 ส่วน) หลังจากนั้นเมื่อสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ไฮโดรเจนและออกซิเจนก็รวมตัวกันกลายกลับมาเป็นน้ำใหม่ (สสารรวมถึงคนจึงไม่หายไปไหน รอวันกลับมาใหม่)
ไอน์สไตน์จึงบอกว่า มวลสารเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน และพลังงานก็เปลี่ยนกลับมาเป็นมวลสารอยู่ตลอดเวลา
มาวันนี้นักเรียนลองสังเกตตัวเองดู
(1)  ทำไมนักเรียนชอบเลี้ยงสัตว์
(2)  ทำไมนักเรียนชอบปลูกต้นไม้
(3)  ทำไมนักเรียนชอบฟังเสียงกีตาร์โปร่ง ชอบดนตรีอคูสติก ไม่ชอบดนตรีร็อค
(4)  ทำไมนักเรียนชอบเที่ยวป่า ไม่ชอบเที่ยวทะเล
(5)  ทำไมนักเรียนเห็นผู้หญิงคนนี้ (ผู้ชายคนนี้) แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเคยเจอเธอ (เขา) มาก่อน
(6)  ทำไมนักเรียนเห็นคนคนนี้ แล้วรู้สึกถึงความเป็นศัตรู ไม่อยากอยู่ใกล้ และคบค้าสมาคมด้วย
(7)  ทำไมนักเรียนจึงชอบสะสมนาฬิกา ชอบกินอาหารไทย ชอบดูลิเก ทั้งๆ ที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว
(8)  ทำไมนักเรียนจึงมีสไตล์การแต่งกายเป็นของตัวนักเรียนเอง ที่แต่งออกมาแล้ว รู้ว่าเป็นตัวนักเรียน
(9)  ทำไมนักเรียนรู้สึกผูกพันกับสถานที่บางแห่ง เกิดความรู้สึกว่านักเรียนเคยมาที่นี่ หรือเคยอยู่ที่นี่มาก่อน ทั้งๆ ที่ไม่เคยอยู่
(10)  ทำไมนักเรียนจึงเจอคนรักคนนี้ได้ มันแสนมหัศจรรย์ และเหลือเชื่อจริงๆ
(11)  ทำไมนักเรียนต้องกลับไปเที่ยวที่เดิมซ้ำๆ แล้วรู้สึกผูกพัน
ฯลฯ
ทั้งหมดเป็นผลงานของจิตที่ยังคงแสดงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามเวทนาเดิม สัญญาเดิม สังขารเดิม และวิญญาณเดิม (ชาติก่อน)
จวบจนนักเรียนรู้จักจิตและจับจิตเจอได้ จิตจะทำการพัฒนาตัวเอง คลอดความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ในมรรคมีองค์แปดข้อแรก ทำให้นักเรียนทำอะไรก็ถูกไปซะทั้งหมด อาการลังเลสงสัย อาการสับสนจะหายไป อาการโลภ โกรธ หลง ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อาการขี้สงสารคน มีเมตตาสูงจะเกิดขึ้นกับนักเรียน อาการอยากอวด อยากโชว์ อยากให้คนยอมรับจะหายไป เหลือแค่เพียงอาการที่นักเรียนอยากให้ตัวเองยอมรับตัวเอง นักเรียนจึงรู้สึกว่า อยู่คนเดียวมีความสุขมากกว่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แต่นักเรียนก็ไม่สามารถจะปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวได้ สาเหตุเพราะเมื่อจิตได้รับการพัฒนา จากจิตเดิมที่ถูกปล่อยปละละเลย กลายมาเป็นจิตเดิมที่ได้รับการพัฒนามากขึ้น และอยู่ในสายตาของนักเรียนตลอดเวลา จิตเดิมที่ถูกจับได้นี้ก็ถึงเวลาที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือนักเรียนแบบเต็มที่
ผลลัพธ์ของการช่วยเหลือนักเรียนโดยจิต เพราะจิตถูกจับได้ จิตจะตรงรี่เข้าไปควบคุมสมอง และใช้สมองเป็นเครื่องมือ คลอดความรู้ที่เป็นสัจจะที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา อีกทั้งยังฉายภาพของอนาคตให้นักเรียนเห็นในใจอีกด้วย ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้นักเรียนเตรียมตัว เตรียมการอย่างเต็มที่ในวันนี้ เพื่อจะต้อนรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง นักเรียนจึงรวยเร็วไงล่ะ
อาการที่นักเรียนรวยเร็ว เพราะรู้จักและเจอจิตถือเป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ทำ 10 ได้ 100 ทำ 10 ได้ 100 ทำ 10 ได้ 100 ซ้ำๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่นักเรียนมีความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ที่เกิดจากการที่จิตเข้าไปกำกับ (ควบคุม) สมอง และใช้สมองเป็นเครื่องมือ
หากจะเปรียบสมองเป็นม้า ที่ไม่มีจ๊อกกี้ (คนขี่ม้า) ม้านี้ก็เปรียบได้กับม้าป่า วิ่งสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ชีวิตของนักเรียนจึงมีแต่เรื่องวุ่นวาย สับสน และยุ่งเหยิงเป็นที่สุด ปะเดปะดังเข้ามาด้วยเรื่องห่าเหวไร้สาระ ที่นักเรียนมองว่าเป็นสาระ ซึ่งจริงๆ แล้วล้วนแต่ไร้สาระทั้งนั้น
ทุกเรื่องเป็นเรื่องที่นักเรียนทำลงไปก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวนักเรียนเอง นักเรียนกำลังอยู่ในอาการยืมจมูกคนอื่นหายใจ นักเรียนจึงขาดอิสระ ขาดเสรีภาพ มีชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบไม่เคยเป็นตัวของตัวเอง และไม่ยอมถอดหน้ากากออกจากใบหน้า ทำให้นักเรียนไม่เคยจริงใจกับใครเลย แม้กับตัวเอง
พอวันที่จิตถูกจับได้ จิตก็ยอมจำนน และรู้ตัวทันทีว่า ต้องทำหน้าที่เดี๋ยวนี้ ซึ่งหน้าที่ของจิตก็คือ จ๊อกกี้ (คนขี้ม้า)
ทันทีที่จ๊อกกี้ (จิต) กระโดดขึ้นไปคร่อมหลังม้า (สมอง) จ๊อกกี้ก็ควบม้าเข้าสู่เส้นชัยแบบไม่มีทางยอมให้ม้าวิ่งสะเปะสะปะอีกต่อไป ถึงตรงนี้นักเรียนคงเห็นภาพชัดแล้ว ว่าม้าที่ไม่มีคนขี่กับม้าที่มีคนขี่ที่เป็นถึงจ๊อกกี้ มันวิ่งต่างกันอย่างไร
ความสำเร็จ (รวย) จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ เพราะทำอะไรก็สำเร็จ เล่นหุ้นก็รวย รวย แล้วก็รวย เพราะนักเรียนเกิดสัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา
มาถึงตรงนี้ก็ขอทบทวนเส้นสายที่สอนนักเรียน เรื่อง อานาปานสติกับการเล่นหุ้นที่เขียนมาตั้งแต่ต้นว่า
เริ่มต้นจากการหยุดคิด ด้วยการฝึกอานาปานสติ หลังจากนั้นจะเกิดภาวะที่รู้อะไรๆ ขึ้นมาเอง (INTUITION) เป็นความรู้ที่มาพร้อมกับการรู้จักตัวเอง พาลพาให้รู้จักผู้อื่น สามารถอ่านใจเจ้ามือหุ้นออกว่า พวกมันกำลังทำอะไรอยู่ จะเรียกอาการรู้นี้ว่า เซ้นส์ก็ได้ ความรู้สึกจะถูกใช้เพื่อการเล่นหุ้นมากกว่าการวิเคราะห์ แต่ถามว่าต้องวิเคราะห์หุ้นหรือไม่ คำตอบก็คือ ต้องวิเคราะห์ เพื่อจะรู้สึก จึงจะทำการตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนั้น
ตลอดเส้นทางของการวิเคราะห์หุ้น ใจของนักเรียนจะเต็มไปด้วยความเข้าใจ (ไม่ใช่ความคิด) และเห็นภาพของอนาคตแบบชัดมากๆ ว่าหุ้นตัวที่วิเคราะห์ราคาจะขึ้นไปที่เท่าใด อาการนี้ถือเป็นความรู้อันยิ่งยวด (อภิญญา) ที่เกิดจากการอานาปานสติ ทำให้นักเรียนรู้ รู้ แล้วก็รู้ เป็นอาการรู้ที่ผมบอกนักเรียนว่า ไม่ใช่รู้ธรรมดา แต่เป็นการรู้แบบสัมมาทิฏฐิ หรือรู้ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง นักเรียนจึงรวยหุ้นไงล่ะ
ตลอดเส้นทางของการวิเคราะห์หุ้น ใจของนักเรียนจะสงบ เพราะจิตที่นักเรียนจับได้บอกนักเรียนตลอดเวลา ว่าอีกไม่นานนักเรียนก็จะตายแล้ว การเล่นหุ้นขอให้ถือเป็นเกม แบบเล่นเอาจริง แต่สนุกปนขำๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นได้ ทั้งได้และไม่ได้ก็ได้ ไม่ได้ซีเรียสอะไร อาการนี้เป็นอาการที่จะเกิดกับทุกคน พูดอีกแบบให้ตรงประเด็นก็คือ นักเรียนจะมีความโลภน้อยลง ทำให้นักเรียนถือหุ้นได้นาน แบบไม่สนใจมันมาก เป็นเหตุให้นักเรียนรวยได้ เพราะใจนักเรียนถูกจิตกล่อม (ให้คำปรึกษา) ตลอดเวลา ว่ารวยก็ดี ไม่รวยก็ดี อีกไม่นานกูก็จะตายแล้ว
ทั้งหมดที่ผมเขียนเล่าให้นักเรียนอ่านเป็นเรื่องจริง ยืนยันว่าอาการทุกอาการตามที่ผมเขียนเล่านี้ จะต้องเกิดขึ้นกับนักเรียนทุกคนที่ฝึกอานาปานสติอย่างเอาจริงเอาจัง
ไม่เชื่อผม ต้องทดลองฝึกดู
กะว่าจะจบวันนี้ กลายเป็นว่าไม่จบจนได้ ครั้งหน้าจะเขียนเรื่องนี้ต่อครับ เป็นตอนจบ
ตอนนี้คงเป็นตอนสุดท้ายแล้วสำหรับเรื่องที่เขียนยาก แต่คนชอบมีไม่มาก
ปรากฏการณ์คลื่นลูกหลังต้องตามคลื่นลูกแรกมาเป็นสัจธรรม ย้อนกลับไปในอดีต ผมก็ไม่ชอบเรื่องพวกนี้ เพราะมีความรู้สึกว่า มันไม่น่าจะช่วยให้เรารวยได้จริง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านเลยไป ชีวิตที่เหมือนน้ำคลองขุ่นมีตะกอน ก็เริ่มถูกสารส้มจัดการพาให้ตะกอนจับตัวรวมกันแยกตัวออกจากน้ำชัดเจน น้ำคลองก็เลยเริ่มใสขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นตัวปลาว่ายอยู่ในน้ำคลองชัดเจน
ตัวปลาก็คือจิตที่อยู่ท่ามกลางฝุ่นของความคิด ฝุ่นของเหตุและผลที่สมองทำหน้าที่ให้ความเห็นแต่เพียงฝ่ายเดียว
มาวันนี้ผมเชื่อ 1,000,000% ว่าจิตที่ซ่อนอยู่ในตัวคนมีอยู่จริง และจิตทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้กับเราได้ (ไม่ขอเขียนซ้ำ)
เอาเป็นว่าขอเข้าเรื่องสุดท้าย คือเรื่องระยะเวลาที่คนจะเจอจิตได้ หากมุ่งมั่นฝึกอานาปานสติอย่างเอาจริงเอาจัง
พระพุทธเจ้าบัญญัติระยะเวลาเอาไว้ แต่บัญญัติเอาไว้อ้อมๆ ซึ่งเราต้องเอาความรู้และความเข้าใจของเรามาเทียบเคียงเอง ว่าระยะเวลาบรรลุธรรมตามที่พระพุทธเจ้าบอก ก็คือระยะเวลาที่คนเราจะเจอจิตได้นั่นเอง
เพราะเจอจิต จึงเจอจ๊อกกี้
จ๊อกกี้ จึงเข้าไปขี่ม้า (สมอง)
พาม้าวิ่งเข้าสู่เส้นชัย
ณ เส้นชัย คนจะประสบความสำเร็จ เกิดอาการดวงตาเห็นธรรม และเส้นชัยของแต่ละคนก็มีความต่างกันออกไปด้วย
ท่านพุทธทาสแห่งสวนโมกขพลาราม อธิบายเส้นชัยว่ามี 4 เส้นชัย เปรียบเหมือนคนปั่นจักรยานขึ้นยอดเขา
ระหว่างทางที่กำลังปั่นขึ้นยอดเขา คืออาการของคนที่ฝึกอย่างเอาจริงเอาจัง ถือว่าเหนื่อยยากที่สุด
ถึงยอดเขา คืออาการของความสำเร็จที่พิชิตยอดเขาได้ คนจะเกิดอาการดวงตาเห็นธรรมขั้นโสดาบัน
หลังจากนั้นก็ปล่อยจักรยานให้ไหลลงเขาไปเรื่อยๆ ระหว่างทางสู่พื้นดิน คนจะเกิดอาการดวงตาเห็นธรรมขั้นสกิทาคามี อนาคามี และเมื่อจักรยานถึงพื้นดิน คนก็จะเกิดอาการดวงตาเห็นธรรมขั้นอรหันต์
ดวงตาเห็นธรรมขั้นโสดาบัน ถือเป็นขั้นแรกที่ปัญญาเกิด แต่ยังไม่ 100% และเพิ่มขีดของปัญญาไปเรื่อยๆ จนถึง 100% ในระดับอรหันต์
สำหรับคนอย่างเราๆ ท่านๆ ที่ปรารถนาจะเป็นมหาเศรษฐี รวยจากการเล่นหุ้น หรือทำกิจการค้า หรือเป็นลูกจ้างมืออาชีพ และกลายเป็นเศรษฐี จะอยู่ในขั้นปั่นจักรยานขึ้นสู่ยอดเขา แต่ต้องห้ามถึงยอดเขา
อ่านมาถึงตรงนี้ นักเรียนสงสัยหรือเปล่าว่าทำไมจึงห้ามถึงยอดเขา
คำตอบก็คือ ณ ยอดเขา นักเรียนจะเกิดอาการดวงตาเห็นธรรมขั้นโสดาบัน ซึ่งโสดาบันจะเห็นความจริงด้วยใจข้อหนึ่งที่สำคัญ คือ เห็นคนไม่ใช่คน เห็นน้ำไม่ใช่น้ำ เห็นเงินเป็นกระดาษ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ โสดาบันจึงรู้สึกเฉยๆ กับความรวยเพิ่ม และยังเห็นการไม่มีความหมายกับการมีเงินเก็บเอาไว้ก้อนโต โสดาบันจึงตัดสินใจบริจาคทิ้งทั้งหมด มุ่งหน้าหาความสงบและการไปสู่โลกหน้าที่ดีกว่าโลกนี้แต่อย่างเดียว ไอ้เรื่องเล่นหุ้น ไอ้เรื่องทำธุรกิจ อย่าได้มาคุยกันอีกเลยในชาตินี้ ถ้าจะคุยกันเอาไว้ไปคุยกันชาติหน้าจะดีกว่า
มาถึงบรรทัดนี้ นักเรียนก็รู้แล้วว่า เส้นทางสู่การเป็นเศรษฐี ไม่ว่าจะเศรษฐีอะไรก็แล้วแต่ ประเด็นอยู่ตรงการปั่นจักรยานขึ้นสู่ยอดเขา แต่ไม่ต้องถึงยอดเขา นักเรียนก็กลายเป็นเศรษฐีแล้ว และนักเรียนก็จะมีความสุขกับการได้ใช้เงินของนักเรียนแสวงหาวัตถุทรัพย์ เพื่อสนองความโลภในใจของนักเรียน เพราะระหว่างทางสู่ยอดเขา ความโลภในใจของนักเรียนยังคงมีอยู่ แต่น่าแปลกตรงที่ ยิ่งสูงขึ้นๆ ความโลภในใจยิ่งจะน้อยลงไปเรื่อยๆ
เมื่อความโลภลดน้อยถอยลงไป ความสำเร็จก็เกิดมากขึ้นๆๆๆ (เกิดปรากฏการณ์ทำ 10 ได้ 100) นักเรียนจึงกลายเป็นเศรษฐี แล้วเกิดความรู้สึกในใจขึ้นมาแบบที่คนอื่นหมั่นไส้ “ว่าเงินหาง่าย”
ย้อนกลับมาเรื่องการปั่นจักรยานอีกซักนิดว่า การปั่นจักรยานเปรียบเปรยกับการปฏิบัติตัวของนักเรียนอย่างไร จึงจะเรียกว่า ปั่นจักรยาน
คำตอบก็คือ มรรคมีองค์แปด คือเรื่อง 8 เรื่องที่อยู่ในอริยสัจสี่ ที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ ขอฝากให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าต่อเป็นการบ้าน
หรือหากจะค้นจากหนังสือ 4 เล่ม (จดหมายถึงลูก) ของผมก็ได้
ปิดท้ายดีกว่า ไม่อย่างงั้นเดี๋ยวเลยเถิดไปอีก
ระยะเวลาที่คนจะเกิดปัญญา (เล่นหุ้นรวย) ทำอะไรก็รวย อยู่ที่ไม่เกิน 7 วัน
ถ้า 7 วัน ไม่สำเร็จ ก็ไม่เกิน 7 เดือน
ถ้า 7 เดือน ไม่สำเร็จ ก็ไม่เกิน 7 ปี
7 วัน 7 เดือน 7 ปี จึงเป็นเงื่อนเวลาที่หากใครเอาจริงเอาจังกับการฝึกฝนอานาปานสติ คนผู้นั้นจะเกิดอานิสงส์ 10 ข้อ (ทบทวนตอนก่อนๆ)
เมื่ออานิสงส์เกิด
ปรากฏการณ์ทำ 10 ได้ 100 เล่นหุ้นกำไร 10 เด้ง แบบลงทุน 1 ล้านบาท ไม่เกิน 3 ปี ได้ 10 ล้านบาท แบบลงทุน 10 ล้านบาท ไม่เกิน 3 ปี ได้ 100 ล้านบาท แบบลงทุน 100 ล้านบาท ไม่เกิน 3 ปี ได้ 1,000 ล้านบาท เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก
ถึงวันนั้น นักเรียนจะเชื่อว่า “เงินหาง่าย” แต่วันนั้น ผมคงตายไปแล้ว

No comments: