12/15/2014

เที่ยวดอยอ่างขาง ชมโครงการหลวง ตามล่าหาดอกนางพญาเสือโคร่ง

ทริปดอยอ่างขาง เป็นทริปที่เราอยากไปมาตั้งแต่กลางปีแล้ว แต่ก็อดใจรอให้อากาศหนาวให้ดอกนางพญาเสือโคร่งบานเสียก่อน ไปทั้งทีจะได้เป็นช่วงที่สวยที่สุด

ก่อนเดินทางก็หาข้อมูลมาเรื่อยๆ ทั้งใน pantip.com และเวบไซต์อื่นๆ ได้อ่านเจอกระทู้ “เช้านี้ที่อ่างขาง……….” ของคุณคำใส (khamsai55) เป็นข้อมูลที่อัพเดทวันต่อวัน บอกว่าอุณหภูมิเท่าไหร่แล้ว ดอกนางพญาเสือโคร่งบานหรือยัง มีประโยชน์มากๆ ครับ จากนั้นเลยหลังไมค์ไปหาคุณคำใส ว่ามีบริการพาเราเที่ยวบนดอยอ่างขางไหม คุณคำใส ติดต่อกลับมาว่ายังว่างอยู่สามารถพาเราเที่ยวได้ โดยคิดค่าบริการดังนี้
อัตราค่าบริการของคุณคำใส
Option 1 มารอรับลงจากรถทัวร์ที่ปากทางดอยอ่างขาง เที่ยวสวนส้มธนาธร น้ำพุร้อนฝาง เที่ยวโครงการหลวง ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว เที่ยวไร่สตรอว์เบอร์รี่ หมู่บ้านนอแล หมู่บ้านขอบด้ง ชายแดนไทย-พม่า ส่งขึ้นรถกลับที่ปากทางดอยอ่างขาง รวม 2 วัน 2,500 บาท
Option 2 มารอรับลงจากรถทัวร์ที่ปากทางดอยอ่างขาง เที่ยวโครงการหลวง ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว เที่ยวไร่สตรอว์เบอร์รี่ หมู่บ้านนอแล หมู่บ้านขอบด้ง ชายแดนไทย-พม่า ส่งขึ้นรถกลับที่ปากทางดอยอ่างขาง 1,900 บาท
เนื่องจากว่าผมไปกันสองคน คุณคำใส คิดราคาเท่านี้ ไม่แน่ใจว่าถ้าไปกันหลายคนจะมีการเปลี่ยนแปลงราคาหรือเปล่า สรุปว่าผมเลือก Option 1 ครับ ไหนๆ มาแล้วก็แวะเที่ยวในฝางด้วยดีกว่า
ติดต่อคุณคำใส 084 1740159
การเดินทางมาดอยอ่างขาง
โดยรถโดยสารประจำทาง
- นั่งรถ บขส. หรือ รถทัวร์ บ.นิววิริยะยานยนต์ กรุงเทพฯ – ท่าตอน ลงที่หน้าวัดหาดสำราญ (ปากทางดอยอ่างขาง) ค่ารถ บ.นิววิริยะยานยนต์ VIP ราคา 731 บาท ใช้เวลาประมาณ 12-13 ชั่วโมง
- นั่งรถกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ มาลงที่ขนส่งอาเขต แล้วนั่งรถแดงต่อไปยังขนส่งช้างเผือก จากนั้นนั่ง บขส หรือ รถตู้ เชียงใหม่ – ฝาง – ท่าตอน มาลงที่หน้าวัดหาดสำราญ (ปากทางดอยอ่างขาง) จากเชียงใหม่ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง – 3 ชั่วโมงครึ่ง วิธีนี้จะเสียเวลามากกว่าวิธีแรก ต้องไปต่อรถ รอรถ
โดยรถยนต์ส่วนตัว แนะนำให้ใช้ 2 เส้นทางนี้
1. ทาง อ.ฝาง ตรงแยกวัดหาดสำราญ กม 137 ระยะทางสั้น ถนนดี แต่ทางชันมาก เหมาะสำหรับคนที่ชำนาญการขับรถขึ้นเขา
2. ทาง อ.เชียงดาว เลี้ยวซ้ายผ่าน ต.เมืองงาย บ้านอรุโณทัย บ้านหลวง ทางจะชันน้อยกว่าทางที่ 1 แต่ถนนแคบ และระยะทางมากกว่า
ค่าบริการรถสองแถวดอยอ่างขาง
ข้างๆ วัดหาดสำราญจะมีวินสองแถว (สีขาว) ขึ้นไปบนดอยอ่างขาง คิดค่าบริการขาละ 80 บาท 10 คนถึงออก แต่จะมีปัญหาตอนขาลงดอย เพราะคนส่วนมากจะเหมาสองแถว ขึ้นดอย – เที่ยว – ลงดอย ขาลงอาจจะต้องโบกรถนักท่องเที่ยวลง หรือรอลุ้นรถสองแถว ตรงหน้าตลาด
- เหมาสองแถวขึ้นดอย วินข้างวัดหาดสำราญ เที่ยวโครงการหลวง ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว เที่ยวไร่สตรอว์เบอร์รี่ หมู่บ้านนอแล หมู่บ้านขอบด้ง ชายแดนไทย-พม่า รวม 2 วัน ราคากลางอยู่ที่ 1,900 บาท ขึ้นไป
- เหมารถแดงจากตัวเมืองเชียงใหม่ขึ้นดอยอ่างขาง เที่ยวบนดอย ส่งกลับที่เชียงใหม่ รวม 2 วัน ราคากลางอยู่ที่ 3,500 บาท
นอกเหนือจากรถสองแถวแล้วยังมีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง วินตรงข้ามกับวัดหาดสำราญ คิดค่าบริการคนละ 200 – 250 บาท
ผมเดินทางด้วยรถทัวร์ของนิววิริยะ VIP เที่ยว 19.45 น. ถึงขนส่งเชียงใหม่ (อาเขต) ตอนตี 5 รถส่งคนต่อที่ อ. เชียงดาว – ไชยปราการ และมาส่งเราที่ ปากทางดอยอ่างขาง
ภายในรถทัวร์เบาะกว้างดีครับ จัดวางที่นั่งแบบ A – CD แต่มีข้อเสียตรงที่ห้องน้ำมีกลิ่นเหม็นไปหน่อยตอนหลังเที่ยงคืน
พอลงจากรถทัวร์ก็เจอคุณคำใส มารอรับเราอยู่ก่อนแล้ว
รถคุณคำใส เป็นรถกระบะ Isuzu Hilander Cab รถใหม่ นั่งสบาย ถ้าใครมีแผนว่าลงจากดอยอ่างขางแล้วจะเที่ยวเชียงใหม่ต่อ ขอแนะนำให้ไปซื้อตั๋วล่วงหน้ารถตู้ ฝาง – เชียงใหม่ ก่อนเลยครับ ถ้าไปซื้อวันกลับตั๋วจะหมดต้องนั่ง บขส กลับ ซึ่งจะไม่สบายเท่ารถตู้
จัดการธุระเสร็จเราก็ไปเที่ยวกันที่ สวนส้มธนาธร และ บ่อน้ำพุร้อนฝาง ใครสนใจไปเที่ยว 2 ที่นี้คลิกอ่านได้ที่ริวิว ที่ผมเขียนไว้แล้วได้เลยครับ หน้านี้จะเน้นเฉพาะในดอยอ่างขาง
ในรูปบนจะเป็นท่ารถสองแถวขึ้นดอยอ่างขางนะครับ มีที่รับฝากรถสำหรับคนที่ไม่อยากเอารถขึ้นไป หรือไม่มั่นใจ จากปากทางตรงนี้ขึ้นไปยังดอยอ่างขางระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นทางขึ้นเขาโค้งและชัน
ข่าวดีล่าสุดสำหรับคนที่จะเที่ยวบนดอยอ่างขาง ตอนนี้มีตู้ ATM ของ ธ.ไทยพาณิชย์ 1 ตู้ ที่หน้าตลาด หน้าทางเข้า สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ถ้าใครพกเงินไปไม่พอก็ไปกดที่ด้านบนได้ครับ
เส้นทางขึ้นดอยอ่างขาง เป็นถนนราดยาง 2 เลน สวนกัน ทางดี ไม่มีหลุม แต่ที่โหดก็คือโค้งหักศอกและชัน แบบพับไปพับมา ในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวจะมีเจ้าหน้าที่มาอำนวยความสะดวกให้ทุกโค้งหักศอกที่สูงชัน
คนขับรถต้องมีทักษะการขับรถขึ้นเขาพอสมควร ต้องรู้จักหวะส่ง ใช้เกียร์ให้เหมาะสม
รถเก๋งเล็กๆ อย่าง March ก็ขับขึ้นดอยอ่างขางได้นะครับ ยิ่งถ้าเป็น Vios, Yaris, Jazz, Altis, Civic ขึ้นได้สบายเลย แต่รถยิ่งเล็กคนขับต้องมีฝีมือหน่อย ส่วนรถกระบะแรงๆ เครื่องดีเซล ก็ช่วยให้ง่ายขึ้น
ขึ้นเขามาได้สักพักก็เจอต้นนางพญาเสือโคร่ง ออกดอกสีชมพูบานเต็ม 2 ข้างทาง
ตั้งแต่ไปเที่ยวมาก็มีทริปนี้แหล่ะครับ ที่เจอดอกนางพญาเสือโคร่งบานเยอะมาก
ลงจากรถไปถ่ายรูปดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือ ซากุระเมืองไทยกันครับ
ต้นนี้ดอกสีชมพูเข้ม ใบเริ่มแทงมาแล้ว ดอกที่บานจะมีอายุ 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะทยอยร่วง เป็นต้นที่มีแต่ใบ
ถึงแม้เมื่อคืนจะนอนหลับๆ ตื่นๆ แต่เมื่อได้เจอดอกไม้สวยๆ อากาศดีๆ ก็สดชื่นได้ครับ
จากปากทางดอยอ่างขางใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็มีถึงด้านบนดอยอ่างขาง หน้าทางเข้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตรงนี้คือบ้านคุ้ม เป็นชุมชนมีตลาด ร้านขายของ ที่พัก รีสอร์ท ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ใครที่ขับรถมาจะต้องจอดรถตรงนี้และเดินเข้าที่พัก ถนนด้านในนี้จะเป็นถนนเล็กๆอาจไม่สะดวกที่จะเอารถเข้าไป
หาที่พักบนดอยอ่างขาง คลิกที่นี่เลยครับ ผมทำรายชื่อมาให้ดูง่ายๆ –> ที่พักบนดอยอ่างขาง
ส่วนรถสองแถวสีขาวขึ้นดอย ก็จะจอดตรงนี้เช่นเดียวกัน
ที่พักในทริปนี้เราจองที่พักที่ อ่างขางวิลล่า ไว้แล้วเป็นที่พักโซนโรงแรมฝั่งวิว คืนละ 1,000 บาท เรามัดจำไปแล้ว 500 บาท ก็จ่ายอีก 500 บาท ตอนเชคอิน
อ่างขางวิลล่า เป็นทั้งร้านอาหาร และที่พัก ที่พักของอ่างขางวิลล่ามีหลายแบบ บ้านหลังใหญ่ บ้านหลังเล็ก อาคารโรงแรมสำหรับ 2 คน ราคาที่พักอ่างขางวิลล่าไม่ค่อยแพงครับ คนมาพักที่นี่เยอะพาสมควร ปีที่แล้วที่ผมมาดอยอ่างขางที่พักเค้ายังไม่เยอะเท่านี้ พอมาปีนี้ผมว่าอ่างขางวิลล่าน่าจะเป็นที่พักที่รองรับคนได้เยอะสุดแล้ว
ครั้งที่แล้วผมเคยมาทานข้าวที่นี่อาหารอร่อยใช้ได้นะครับ ผักสดดี แต่ไม่มีเมนูหมู ที่นี่เป็นมุสลิมครับ
หลังจากเชคอินเสร็จ ก็มีพนักงานช่วยถือกระเป๋า มาส่งให้ถึงห้อง พนักงานที่นี่ส่วนมากเป็นชาวเขา
ที่พักของอ่างขางวิลล่าทั้งหมดอยู่บนเนินเขา ได้วิวและบรรยากาศดีครับ ข้อเสียคือเดินเมื่อยนิดนึง ช่วงที่ไปมีต้นนางพญาเสือโคร่งออกดอกสีชมพูอยู่ในที่พักด้วย
บ้านพัก นอนได้ 5-10 คน
ที่พักเราจะอยู่อาคารด้านบนเกือบสุด เป็นอาคารผนังอิฐสีน้ำตาล
วันที่เราไปมีกรุ๊ปมาลง มาจาก อบต อะไรซักอย่าง มากันหลายคันรถตู้มาก
ห้องวิว แต่มองไม่เห็นวิว ติดหลังคาบ้าน
เข้ามาดูในห้องพักกันดีกว่า ภายในห้องสะอาดดีครับ มีน้ำเปล่าให้ 2 ขวด ไม่มีพัดลม แอร์ ตู้เย็น เพราะอากาศเย็นอยู่แล้ว มีผ้าเช็ดตัวให้ มีทีวี
หมอน – นอนได้สบาย, เตียง – แข็งมาก นอนแล้วปวดหลัง, ผ้าห่ม – หนาดี กันหนาวได้
 
มาดูในห้องน้ำบ้าง มีเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้แก๊ส ถังแก๊สจะวางอยู่หลังห้อง ดังนั้นไม่ควรสูบบุหรี่ในห้องน้ำกับหลังห้องนะครับ
นั่งพักในห้องจนหายเหนื่อย แล้วก็ออกไปเดินเล่นกันครับ แถวๆ นี้จะเป็นร้านขายของฝาก เช่นบ๊วยจีน, ลูกเกด, เชอรี่, ลูกพรุน, กีวี, ลูกซากุระ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ฯลฯ
ใครที่เตรียมเครื่องกันหนาวมาไม่พอก็มีจำหน่าย เสื้อกันหนาว, หมวกคลุมหัว, ถุงมือ
ของที่ระลึก เสื้อยืดอ่างขาง หมวกกันหนาวลายการ์ตูน
เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอกับตลาด มีผักเมืองหนาวมาขายหลายอย่าง ผักสดๆ ราคาไม่แพง ชาวบ้าน ชาวเขา ปลูกเอง ขายเอง
ใครที่ต้องการที่พักแบบหรูๆ หน่อยแนะนำ รีสอร์ทธรรมชาติอ่างขาง (Angknang nature resort) เป็นโรงแรมในเครือ Amari น่าจะเป็นที่พักที่ดีที่สุด และแพงที่สุดในอ่างขางแล้วครับ
ที่พักแบบดีๆ อีกที่หนึงที่แนะนำคือ บ้านพักในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง มีบ้านหลายแบบรองรับคนได้มากถึง 140 คน และที่กางเต๊นท์ได้เป็น 100 หลัง บ้านสวย วิวสวย สไตล์ธรรมชาติ ถ้าพักในสถานีเกษตรหลวงฯ จะไม่ต้องเสียค่าเข้าในสถานีเกษตรฯ ด้วยครับ แต่ที่พักในสถานีเกษตรหลวงฯ จะเหมาะกับคนที่มีรถมากกว่า
ถ่ายรูปคู่กับป้าย สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง พรุ่งนี้เราจะเข้าไปชมดอกไม้สวยๆ ในโครงการหลวงกันครับ
บนดอยอ่างขางมีสาธารณสุข (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อ่างขางตำบลแม่งอน) ไว้รักษาคนเจ็บไข้ ป่วย อุบัติเหตุ แบบที่อาการไม่หนักมาก ในสาธารณสุขมีบ้านพักเป็นหลังๆ ให้เช่าพักด้วยครับ
 
เดินเลยสาธารณสุข เข้าไปในซอย จะเจอกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ดอยอ่างขาง มีที่พัก และที่กางเต๊นท์
 
เลยมาที่ป้อมตำรวจเห็นมีที่พักเปิดใหม่ ยังไม่มีชื่อเลย ช่วงหลังนี่คนนิยมไปเที่ยวดอยอ่างขางเยอะขึ้นครับ
อ่างขาง บ้านสวน นี่ก็น่าจะเป็นที่พักเปิดใหม่ วิวสวยติดภูเขา
แปลงผักชาวเขา ด้านหลังอ่างขาง บ้านสวน
มื้อเย็นเราหาของกินเบาๆ ก่อนเข้านอน มากินกันที่ ร้านดอกเหมย ที่หน้าร้านขายโรตีด้วย (โรตี โกมัสอู๊ด) สั่งข้าวต้มปลา ตบท้ายด้วยโรตี กินข้าวเสร็จ กลับที่พัก อาบน้ำ เตรียมตัวนอน
 
ตอนที่กลับถึงห้องมีคนเข้าพักเต็มอ่างขางวิลล่าแล้ว เสียงค่อนข้างดัง ตามประสาคนที่มาเป็นหมู่คณะ เดินไปเดินมา เดินเข้าเดินออก ดูว่าเพื่อนตัวเองอยู่ห้องไหน ใครพักยังไง แซวเล่นกัน เลยรู้เลยว่าห้องนี้ไม่เก็บเสียง ดึกๆ ห้องข้างๆ นอนกรน ยังมีเสียงเข้ามาเลย
ตอนเช้ามืดอากาศหนาวมาก ในห้องอุณหภูมิ 8 องศาได้ เช้านี้เรานัดกับคุณคำใส ตอน 5.30 น. คุณคำใสมารับเราที่หน้าอ่างขางวิลล่าเลย เดี๋ยวเราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันครับ
ที่จุดชมวิว ดูทะเลหมอก เป็นจุดที่คนมากางเต๊นท์กันเยอะครับ เรามาถึงจุดชมวิว เพื่อมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมง มีคนมายืนรอดูอยู่พอสมควร
ตรงจุดชมวิวริมถนนที่คนยืนเยอะๆ เป็นจุดชมวิวที่ยังไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะเห็นสายไฟพาดผ่าน คุณคำใสพาเราเดินเข้าป่า ไปจุดชมวิวอีกจุดนึงที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยรู้
วันนี้อากาศไม่ค่อยดี หมอกจัดมาก ทางไปจุดชมวิวก็มืดมาก ในรูปด้านบนผมถ่ายตอนขากลับเลยสว่างขึ้นมาหน่อย แนะนำให้พกไฟฉายติดตัวไปด้วยนะครับ ถ้าไม่มีจริงๆ ก็เอาไฟหน้าจอโทรศัพท์มือถือส่องลงพื้นก็พอจะแก้ขัดได้ เวลาเดินจะได้มองเห็นทาง
ระหว่างทางเดินมีน้ำค้างจากกิ่งไม้ตกมาตลอด บรรยากาศเหมือนฝนตก
การที่หมอกลงจัดแบบนี้ คุณคำใส บอกกับเราว่าเมื่อคืน ฝนอาจจะตกที่ฝาง หมอกที่ลงจัดมีผลทำให้อากาศอุ่นขึ้นด้วยครับ ก่อนก่อนที่เราจะมาอุณหภูมิลงต่ำถึง 3 องศา แต่วันนี้ประมาณ 10 องศา
ถึงแล้วครับจุดชมวิว ชมพระอาทิตย์ขึ้น ดูทะเลหมอก แต่มองไม่เห็นอะไรเลย หมอกหนามาก ยืนรอได้สักพักไม่มีวี่แววที่หมอกจะจางลง ถ้าอยากรู้ว่า วิวทะเลหมอกตรงนี้เป็นอย่างไรดูได้จากรูปด้านล่างนะครับ เป็นรูปของคุณคำใส ผมขอจากคุณคำใสมา รูปนี้ถ่ายวันที่ 15 ธันวาคม 2554 ก่อนผมไป 2 วันเอง
ทะเลหมอก ดอยอ่างขาง
ผมพกเทอร์โมมิเตอร์มาด้วย มาดูกันว่าอุณหภูมิเช้านี้กี่องศา
อุณหภูมิ 10 องศา แต่เรายังสบายๆ เพราะใส่เสื้อกันถึง 3-4 ตัว กันหนาวได้ดีมาก
น้ำค้างลงแรงมาก พื้นเปียกเหมือนฝนตก
รอแล้วไม่เห็นอะไร ก็กลับดีกว่า
บางคนก็ยังรอยู่
บนดอยอ่างขางยังมีการใช้ม้าในการเดินทาง ขนของ ว่างจากการใช้งานก็จูงมาให้นักท่องเที่ยวขี่ ถ่ายรูปเล่น ครั้งละ 20 บาท
ที่จุดชมวิวมีชุดสำหรับใส่บาตร ชุดละ 50 บาท ประมาณ 7 โมงจะมีพระมาบิณฑบาตร
ตรงจุดชมวิวมีร้านอาหารขายโจ๊ก ข้าวต้ม, ซาลาเปา, หมั่นโถว, ปาท่องโก๋ กาแฟ โอวันติน อาหารบนนี้ขายไม่แพงครับ ราคาปกติเลย
โจ๊กหมูใส่ไข่ 35 บาท
เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราทานข้าวบนนี้เลย โจ๊กร้อนๆ กับอากาศหนาวๆ ทานเสร็จก็ไปกันต่อที่ ไร่สตรอว์เบอร์รี่ขั้นบันได
ไร่สตรอว์เบอร์รี่อยู่ห่างจากจุดชมวิวประมาณ 15 นาที ไปทางเดียวกับฐานปฎิบัติการทหารบ้านนอแล แล้วจะมีทางด้านซ้ายเข้าไป ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะไม่รู้จัก ต้องให้คนท้องที่พาไป
ทางซ้ายมือของห้องสุขาตรงนี้เป็นชายแดนไทย – พม่าแล้วนะครับ
ไร่สตรอว์เบอร์รี่นี้มีชื่อว่า เนินป่าจ่าฟอร์เรนท์ พลทหารณรงค์ อยู่ที่เนินเขาหัวโล้น เป็นไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่ส่งให้กับโครงการหลวง บางช่วงไร่สตรอว์เบอร์รี่นี้ก็ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้า เนื่องจากนักท่องเที่ยวเข้ากันเยอะก็ไปเด็ดสตรอว์เบอร์รี่บ้าง ทำต้นไม้เสียหายบ้าง
ไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่นี่มีจุดเด่นที่เป็นไร่แบบขั้นบันได เห็นวิวภูเขา แต่วันนี้หมอกลงจัดจริงๆ 7.30 น แล้ว ยังขาวเต็มไปหมด
เสื้อสีแดงที่ใส่อยู่ด้านในเป็นชุดชาวเขานะครับ พอดีว่าอากาศหนาวเลยต้องใส่เสื้อกันหนาวทับอีกที
ลูกไหนโตได้ที่แล้วก็จะเก็บส่งเข้าโครงการหลวง ถ้าอยากเห็นช่วงเก็บสตรอว์เบอร์รี่ให้มาเช้าๆ ครับซัก 7.00 – 7.30 น. ถ้ามาสายกว่านี้นอกจากจะไม่เห็นคนเก็บสตรอว์เบอร์รี่แล้วยังไม่เห็นสตรอว์เบอร์รี่ลูกสีแดง เพราะถูกเก็บไปแล้ว
แปลงสตรอว์เบอร์รี่แปลงนี้เป็นสายพันธุ์พระราชทาน 80 มีจุดเด่นที่มีรสหวาน ไม่เปรี้ยว ลูกใหญ่ ให้ผลดก ต้านทานโรคและแมลงได้ดี แปลงสตรอว์เบอร์รี่ในโครงการหลวงเป็นแปลงปลอดสารพิษ ไม่มียาฆ่าแมลง สามารถทานได้ทันทีที่เก็บเลยครับ
ส่วนสตรอว์เบอร์รี่ สายพันธุ์พระราชทาน 72 ลูกจะเล็กกว่า จะปลูกในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
ถ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ สามารถซื้อสตรอว์เบอร์รี่ สายพันธุ์พระราชทาน 72, 80 ได้ที่ร้านโครงการหลวงเช่นที่สาขาดิโอลด์สยาม ราคาไม่แพงครับ กล่องละ 65-70 บาท
มีช่วงหนึ่งลมพัดมา พัดเอาหมอกที่ปกคลุมไร่สตรอว์เบอร์รี่ไปหมด เลยมีโอกาศได้ถ่ายรูปแบบไร้หมอกอยู่แปปนึง
ในหนังเรื่องธรณีนี่นี้ใครครอง ฉากที่อยู่ในไร่สตรอว์เบอร์รี่ก็มาถ่ายทำที่ไร่สตรอว์เบอร์รี่ขั้นบันไดแห่งนี้ครับ
สตรอเบอร์รี่ที่เก็บได้ในเช้านี้ เตรียมส่งเข้าโครงการหลวงไปจัดจำหน่าย
ลูกนี้ใหญ่มากขอยืมเค้ามาถ่ายรูปข้างนอก ขนาดใกล้เคียงกับลูกปิงปองเลย
ออกจากไร่สตรอว์เบอร์รี่ แล้วเราไปที่ฐานปฏิบัติการนอแล
ฐานปฏิบัติการนอแล เป็นจุดชมวิวชายแดนไทย – พม่า ใกล้กับฐานจะมีหมู่บ้านชาวเขาสร้างแบบง่ายๆ อยู่เป็นชุมชน
ทางเข้าฐานปฏิบัติการนอแล หมอกลงจัด อากาศหนาว
เก้าอี้ตัวนี้เป็นที่ประทับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จทรงเยี่ยมฐานปฏิบัติการนอแล เมื่อ 24 มกราคม 2536
ลานจอดเฮลิคอปเตอร์
ร้านค้าสวัสดิการ ขายมาม่าคัพ กาแฟ น้ำอัดลม
หลุมหลบภัย
ถ้าเดินเลยศาลาทอดพระเนตรไปจะเป็นสุดเขตประเทศไทยแล้วครับ
สุดเขตประเทศไทย ชายแดนไทย – พม่า
ชายแดนไทย – พม่า กั้นอาณาเขตด้วยรั้วลวดหนาม รั้วไม้ไผ่
ขอถ่ายรูปกับพี่ทหาร ผู้ปกป้องผืนแผ่นดินไทย
เนื่องจากว่าวันนี้หมอกลงจัดตลอด ทำให้เราใช้เวลาในแต่ละที่ไม่นาน เพราะไม่เห็นอะไรเลย เราเลยเข้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ได้เร็วกว่าที่วางแผนไว้
การเข้าไปชมข้างในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางจะต้องเสียค่าบำรุงสถานีดังนี้ครับ
- คนละ 50 บาท
- รถยนต์ 50 บาท
ป.ล. นักท่องเที่ยวที่พักในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางไม่ต้องเสียค่าเข้านะครับ
ประวัติสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
เรื่องกำเนิดของสถานีฯ แห่งนี้เป็นเกร็ดประวัติเล่ากันต่อมาว่าครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จทางเฮลิคอปเตอร์ผ่านยอดดอยแห่งนี้และทอดพระเนตรลงมาเห็นหลังคาบ้านคนอยู่กันเป็นหมู่บ้าน จึงมีพระดำรัสสั่งให้เครื่องลงจอด เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาทอดพระเนตรเห็นทุ่งดอกฝิ่น และหมู่บ้านตรงนั้นก็คือหมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอซึ่งในสมัยนั้นยังไว้แกละถักเปียยาว แต่งกายสีดำ สะพายดาบ
พระองค์มีพระราชดำรัสที่จะแปลงทุ่งฝิ่นให้เป็นแปลงเกษตร สถานีฯ จึงเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2512 มีโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ พืชน้ำมัน โดยมุ่งที่จะหาผลิตผลที่มีคุณค่าพอที่จะทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวเขา และทำการส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมแก่ชาวเขาในบริเวณใกล้เคียง สามารถชมแปลงทดลองปลูกไม้ผลเมืองหนาว ได้แก่ ท้อ บ๊วย พลัม สตรอว์เบอรี่ สาลี่ ราสเบอรี่ พลับ กีวี ลูกไหน เป็นต้น พืชผักเมืองหนาว เช่น แครอท ผักสลัดต่าง ๆ ฯลฯ แปลงไม้ดอก เช่น คาร์เนชั่น กุหลาบ แอสเตอร์ เบญจมาศ ฯลฯ
การเข้าชมในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จะต้องขับรถเป็นวงกลม วิ่งได้ทางเดียว (One way) จุดแรกที่เราแวะเป็นป้าย “อ่างขาง แดนมหัศจรรย์” บริเวณนี้เป็นแปลงบ๊วย
ใครเป็นเป็นแฟนคลับ ณเดชน์ ญาญ่า กุ๊บกิ๊บ ของบอกว่าละครเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง มีหลายฉากที่ถ่ายบนดอยอ่างขางครับ อย่างแปลงบ๊วยนี่ก็ใช่ นอกจากหนังเรืองนี้แล้วก็ยังมีเรื่อง The letter จดหมายรัก ทีี่หนุ่ม อรรถพร ธีมากร แสดงคู่กับ แอน ทองประสม ก็ถ่ายทำที่ดอยอ่างขางเช่นเดียวกันครับ
ขี่ม้าถ่ายรูป 20 บาท ถ้านั่ง 1 รอบ 60 บาท
ถ่ายรูปกับต้นบ๊วย
ที่เห็นเหลืองๆ เป็นมะเขือการ์ตูน
จุดที่ 2 สโมสรอ่างขาง
ที่หน้า สโมสรอ่างขาง จะมีชาวเขาขายของ เป็นสินค้าทำมือ เช่น กระเป๋าใส่เงิน, เครื่องเงิน ราคาไม่แพง
สโมสรอ่างขาง
ล๊อบบี้สโมสรอ่างขาง
ใครที่ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าแนะนำให้ลองทานบุฟเฟต์มื้อเช้าที่สโมสรอ่างขาง ผักที่นี่สดและอร่อยมาก เป็นผักที่ปลูกในโครงการหลวง เมนูแนะนำของสโมสรอ่างขาง ขอแนะนำเป็นยำสตรอว์เบอร์รี่สด, ปลาสตอร์เจียน, น้ำพริกอ่างขาง, ไก่ตุ๋นโสมตังกุย, เต้าหู้เหลืองทอด, ขาหมู – หมั่นโถว
ร้านอาหารที่สโมสรอ่างขางมีวิวสวยๆ ให้ชม ใครที่พลาดทานมื้อเช้า ที่นี่ยังมีบริการอาหารในมื้อกลางวัน และ มื้อเย็นอีกด้วย
สำหรับคอกาแฟต้องร้านนี้เลยครับ กาแฟ ดอยคำ ใครอยากชิมสตรอว์เบอร์รี่สดๆ ที่ปลูกบนดอยอ่างขาง หาซื้อได้ในนี้ครับ
โปสการ์ด ของที่ระลึก
 
มุมมหาชนของสโมสรอ่างขาง “กาแฟซักแก้ว โปสการ์ดซักใบ ถึงใครซักคน”
ไฮไลท์ของการเข้ามาชมในสถานีเกษตรอ่างขางคือ การเข้ามาชมดอกไม้เมืองหนาว นานาชนิดที่ปลูกในสวนกลางแจ้ง สวนดอกไม้ สวนแรกที่เราเข้าชม เป็น สวน 80 ครับ
สวน 80 เป็นสวนที่อยู่ตรงข้ามกับสโมสรอ่างขาง มีดอกไม้เมืองหนาว นานาชนิด ปลูกหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป ดอกไม้ที่สวนนี้จึงสวยงามตลอดปี ชื่อของสวน 80 มาจากวาระที่หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวงมีพระชนม์มายุครบ 80 ชันษา
เดินๆ ไปเจอดอกนางพญาเสือโคร่งอีกแล้ว อดใจไม่ไหวต้องเปลี่ยนเป็นเลนเทเล ซูมเข้าไปที่ดอก
ซุ้มสับปะรดสี
สวนกระหล่ำประดับ
สวนไผ่
ถึงแม้ว่านางพญาเสือโคร่งบนดอยอ่างขางจะบานหมดแล้ว แต่ต้นซากุระญี่ปุ่น เพิ่งจะเริ่มมีดอกเอง ช่วงกลางเดือนมกราคม น่าจะบานเต็มต้นครับ
บ้านไม้หลังนี้เป็น สำนักงานสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
สวนคำดอย มีพื้นที่ประมาณ 1.5 ไร่ เป็นสวนที่รวบรวบพันธุ์ไม้ตระกูลกุหลาบพันปี (โรโดเดนดรอน) ทั้งสายพันธุ์ในและนอกประเทศมาทดลองปลูก
สวนหอม (Scented Garden) จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 มีพื้นที่ประมาณ 2 งาน มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดรวบรวมพรรณไม้ที่มีกลิ่นหอม จากส่วนต่างๆ ของต้น เช่น ใบหรือดอกมีกลิ่นหอม พรรณไม้ในสวนนี้ได้แก่ หอมหมื่นลี้ มะโฮเนีย วิสทีเรีย ผีเสื้อลาเวนเดอร์ ไวโอล่า
สวนกุหลาบอังกฤษ (English roses) ในสวนมีกุหลาบสายพันธุ์อังกฤษ ดอกใหญ่ หลากหลายสี กว่า 200 สายพันธุ์ ช่วงที่สวยที่สุดของสวนนี้เป็นเดือนเมษายน ดอกกุหลาบจะบานเต็มไปหมดทั้งสวน
ชมสวนกุหลาบอังกฤษเสร็จ ก็ต้องนั่งรถต่อ ไปที่ แปลง4 บ๊วย
แปลง4 บ๊วย (Japanese Apricot) ต้นบ๊วยในแปลงนี้เป็นต้นบ๊วยญี่ปุ่น ปลูกเมื่อ พ.ศ. 2517 ช่วงที่ต้นบ๊วยออกดอก จะเป็นช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค. และจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในเดือน ก.พ. – มี.ค.
สังเกตุต้นบ๊วยที่นี่มีมอส และ เฟิร์นปกคลุมต้น บ่งบอกถึงอากาศที่ชุ่มชื้น และ เป็นต้นที่ปลูกมานาน
โรงเรือนรวบรวมพันธุ์ผัก (Temperate Vegetable Household) อยู่ตรงข้ามกับแปลง4 บ๊วย เป็นโรงเรือนปลูกผักหลายชนิดทั้งผักเมืองหนาว เช่น สวิสชาร์ด กะหล่ำม่วง กะหล่ำดาว อาติโช๊ค เซเลอรี่ พาร์สเลย์ รูบาร์บ และ สมุนไพรไทย
แปลงผักหน้าโรงเรือน
ผักที่มีก้านสีส้ม สีเหลืองในรูปด้านล่างชื่อว่า สวิสชาร์ด (Swiss shard)
แปลงผักไม่กว้างมากครับ เดินแปปเดียวก็หมด เดี๋ยวเราจะไปชมบอนไซที่สวนบอนไซอ่างขาง
สวนบอนไซอ่างขาง เป็นสวนบอนไซที่ขึ้นชื่อว่ามีบอนไซสวยงามอยู่มาก ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม อากาศดี เมื่อใดที่ สวนบอนไซอ่างขาง ส่งบอนไซเข้าประกวดในงานต่างๆ มักจะได้รางวัลที่ 1 กลับมา
บอนไซ Firethorn ที่หน้าทางเข้า
รูปล่างซ้าย : สาลีจีน, รูปล่างขวา : เมเปิ้ล
 
ภายในสวนบอนไซอ่างขาง นำหินมาประดับเป็นต้นบอนไซ ปลูกหญ้าให้นูนขึ้นเหมือนกิ่งบอนไซ
บอนไซนานาชนิด หลากหลายสายพันธุ์
สวนบอนไซแบบญี่ปุ่น
โดมที่เห็นในรูปล่างเป็น โดมอนุรักษ์และจัดแสดงพืชภูเขาเขตร้อน สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
ภายในโดมจะเป็นพืชในเขตร้อน ชื้น เป็นส่วนมาก เช่นเฟิร์น, กล้วยไม้ รองเท้านารี, ต้นหม้อข้าว หม้อแกงลิง, สับปะรดสี
ข้างหลังโดมจะเป็นโรงเรือจัดแแสดงพืชทนแล้ง เช่น กระบองเพชร แต่โรงเรือนล๊อคกุญแจไว้ ไม่เปิดให้เข้าชม
เดินต่อไปยังทางเดินข้างโดม เจอต้นกระบองเพชรขนาดใหญ่ สูงมาก สูงแค่ไหนลองเทียบกับคนดูครับ
ถ้าอยากเห็นสวนบอนไซจากมุมสูง แนะนำให้ไปไปที่ สวนหินธรรมชาติ ดอยอ่างขาง บนสวนหินมีต้นนางพญาเสือโคร่งที่กำลังออกดอกให้ชมด้วย
ลงจากสวนหินธรรมชาติ ดอยอ่างขาง ข้ามถนนไปชมดอกไม้งามๆ ที่ แปลงดอกไม้
แปลงนี้จะอยู่หน้าโครงการหลวงแล้ว ใกล้กับทางเข้า เราเที่ยวในโครงการหลวงเกือบจะครบทุกโซนแล้วครับ
ดอกลาเวนเดอร์ ไม้หอมสารพัดประโยชน์ นิยมนำมาใช้ในสปา ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เป็นไม้เมืองหนาว ในเมืองไทยหาดูยากครับ ที่ประเทศญี่ปุ่นจะปลูกกันเยอะ
ดอกไม้ในแปลงนี้จะปลูกชนิดเดียวกันยาวไปเป็นแถว
ช่วงที่ผมไปเห็นเค้ากำลังเอาต้นสตรอว์เบอร์รี่มาลง คิดว่าคงไม่นานคงจะออกดอก ออกผล
กระเช้าดอกไม้ ด้านหลังของกระเช้าเป็น สุวรรณภูมิรีสอร์ท
อุโมงค์ทางเข้ารูปหัวใจ
ก่อนจะออกจากโครงการหลวงใครที่ต้องการซื้อของไปฝากเพื่อน หรือซื้อของโครงการหลวงลองเข้ามาดูที่ จุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของสถานี อยู่เกือบจะถึงทางออกครับ
ภายในขายผลิตภัณฑ์ ทางการเกษตร ขนม ชา สุรากลั่นชุมชนก็มีครับ เป็นเหล้าข้าวโพด ตราหงส์ฟ้าคู่ 40 ดีกรี ขวดแบน 150 บาท
ข้างๆ จุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของสถานี มี ศูนย์ขยายพันธุ์พืช ให้ได้ชมเป็นที่สุดท้าย ก่อนออกจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
ในศูนย์ขยายพันธุ์พืช จะมีกรองแสงที่หลังคา แสงแดดในนี้จะไม่แรงมาก
เดินชมในโครงการหลวงจนเหนื่อย แวะทานกาแฟดอยคำกันครับ กาแฟที่นี่แก้วละ 30-40 บาท ใช้เมล็ดกาแฟจากโครงการหลวง
มุมเก้าอี้ในสวน
กล้วยไม้รองเท้านารี
 
เราใช้เวลาในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางตั้งแต่ 9.00 – 12.00 น. ก็ครบทุกจุด เดี๋ยวเราไปทานข้าวเที่ยงที่ ร้านถิงถิงโภชนากันครับ
ร้านถิงถิง โภชนา เป็นร้านที่อยู่ตรงข้ามกับอ่างขางวิลล่า ร้านนี้ขายอาหารตามสั่งหลายอย่าง ในความเห็นผมร้านนี้คนนิยมกินเยอะสุดแล้วครับ ขายดีมาก เดี๋ยวเราไปลองชิมกันครับ
ผมสั่งข้าวกระเพราหมู + ไข่ดาว 1 จาน, แหนมผัดไข่, ผัดฟักแม้ว (ยอดมะระ) อาหารอร่อยทุกอย่างเลยครับ
 
ราคาอาหาร
- ข้าวกระเพราหมู + ไข่ดาว 40 บาท
- ข้าวเปล่า 10 บาท
- แหนมผัดไข่ 60 บาท
- ผัดฟักแม้ว (ยอดมะระ) 50 บาท
เทคนิคการสั่งอาหารในช่วงเทศกาลที่คนไปเยอะๆ ให้สั่งทีเดียวให้ครบตามที่ต้องการ ถ้าสั่งเพิ่มทีหลังจะได้ช้าครับ
เมนูแนะนำร้านถิงถิง โภชนา
- ไก่ตุ๋นโสม, ต้มยำปลาบึก, ต้มยำไก่บ้าน, ต้มยำเห็ดหอม, ขาหมูยูนนาน, ผัดเผ็ดนกกระจอกเทศ, ผัดเผ็ดหมูป่า, ไข่เจียวยอดโสม, ต้มจืดยอดถั่วลันเตา ฯลฯ
จากนั้นก็ได้เวลาลงจากดอย คุณคำใส เห็นว่ามีเวลาเหลือก่อนขึ้นรถตู้จึงพาเราไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์โครงการหลวง ฝาง มาเที่ยวกับคุณคำใส เที่ยวคุ้มจริงๆ เที่ยวจนวินาทีสุดท้าย พอใกล้ถึงเวลาขึ้นรถก็มาส่งเราขึ้นรถตู้ที่ปากทางดอยอ่างขาง รถตู้จะมาจอดรับที่วินมอเตอร์ไซค์ฝั่งตรงข้ามวัดหาดสำราญ หรือถ้าจะนั่งรถ บขส เข้าเชียงใหม่ก็รอได้ที่วินมอเตอร์ไซค์เช่นกันครับ
ด้วยความประทับใจในการบริการพาเที่ยวของคุณคำใส เลยขอถ่ายรูปคู่ซักรูปนะครับ คุณคำใส เป็นคนซ้าย ใส่เสื้อสีขาว ส่วนผมเป็นคนใส่แว่น ใครไปดอยอ่างขางด้วยรถทัวร์, เครื่องบิน ติดต่อคุณคำใส ให้พาเที่ยวได้ที่เบอร์ด้านล่างเลยครับ
คุณคำใส 084 1740159
คุณคำใส อยู่รอจนรถตู้มา จึงกลับไป สุดยอดของการบริการเลยครับ มารับตั้งแต่ลงจากรถทัวร์ จนกระทั่งส่งขึ้นรถกลับ
ระหว่างทางไปเชียงใหม่มีตำรวจโบกรถตรวจยาเสพติด และคนหลบหนีเข้าเมือง บัตรประชนต้องพกติดตัวไว้ตลอดนะครับ
รถตู้ ฝาง – เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง จอดปลายทางที่สถานีขนส่งช้างเผือกในตัวเมืองเชียงใหม่ ระหว่างทางมีจอดแวะเข้าห้องน้ำที่ อ. เชียงดาว 1 ที่ เราต้องเอาคูปองในตั๋วไปแลกเข้าห้องน้ำ และมีคูปองแลกน้ำดื่ม 1 ใบ แลกน้ำเปล่าได้ 1 ขวดครับ
ทริปดอยอ่างขาง แบบไม่มีรถส่วนตัว ก็ไปได้ไม่ยาก ถ้าเราวางแผนดีๆ รีวิวนี้คงจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการไปเที่ยวดอยอ่างขาง ไม่มากก็น้อยนะครับ ใครติดขัดตรงไหนสอบถามมาที่ comment ด้านล่างได้เลยครับ ยินดีตอบให้ตามที่ทราบ :)
งบประมาณทริปเชียงใหม่ – ดอยอ่างขาง 3 วัน 2 คืน 2 คน
- ค่ารถนิววิริยะทัวร์ VIP ลงปากทางดอยอ่างขาง 731 x 2 = 1,462 บาท
- ค่ารถเที่ยวฝาง – ดอยอ่างขาง 2,500 บาท
- ค่ารถตู้ฝาง – เชียงใหม่ 150 x 2 = 300 บาท
- ค่าที่พักอ่างขางวิลล่า 1 คืน 800 บาท
- ค่าที่พักในตัวเมืองเชียงใหม่ 1,200 บาท
- ค่ารถทัวร์ สมบัติทัวร์ VIP เชียงใหม่ – กรุงเทพฯ 605 x2 = 1,210 บาท
- ค่าข้าว 3 วัน 1,800 บาท
- ของฝาก + อื่นๆ 2,000 บาท
รวมทั้งหมด 11,272 เฉลี่ยคนละ 5,636 บาท
แผนที่ดอยอ่างขาง จากเวบไซต์สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง www.angkhangstation.com (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
การเดินทางจากดอยอ่างขางไปยังที่ต่างๆ
ไปเชียงใหม่ (ขนส่งช้างเผือก) นั่งรถ บขส สีส้ม ท่าตอน – เชียงใหม่ ขึ้นรถที่วินมอเตอร์ไซค์ฝั่งตรงข้ามวัดหาดสำราญ รอโบกรถเอา จากปากทางดอยอ่างขางไปเชียงใหม่ ประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง
ไปเชียงราย นั่งรถ บขส หน้าวัดหาดสำราญ ไปลงสถานีขนส่งฝาง มีรถบัสเล็กๆ วิ่งจากฝางไปลงเชียงราย ราคา 84 บาท รถวิ่งวันละเที่ยว รถออก 14.30 น.
ไปแม่สาย เชียงราย นั่งรถ บขส หน้าวัดหาดสำราญ ไปลงสถานีขนส่งฝาง แล้วนั่งรถบัส / สองแถว ฝาง – แม่สาย ถ้าต้องการนั่งรถสายนี้ไปเชียงรายให้ลงที่แม่จัน แล้วต่อรถจากแม่จันเข้าเชียงราย
ไปแม่สรวย เชียงราย นั่งรถ บขส หน้าวัดหาดสำราญ ไปลงสถานีขนส่งฝาง แล้วนั่งรถบัส / สองแถว ฝาง – แม่สรวย ถ้าต้องการนั่งรถสายนี้ไปเชียงรายให้ต่อรถที่แม่สรวยเข้าเชียงรายได้เลย
ไปดอยแม่สลอง เชียงราย นั่งรถ บขส เชียงใหม่ – ท่าตอน หน้าวัดหาดสำราญ ไปลงสุดสายที่วัดท่าตอน แล้วเดินตามทางไปอีกประมาณ 50 เมตร จะเห็นวินสองแถวสีเหลืองสาย บ้านท่าตอน – ดอยแม่สลอง
ถ้านั่งรถที่สุดสายที่ อ.ฝาง ให้ต่อรถ จากฝาง มาท่าตอน แล้วเดินทางตามด้านบน

No comments: