12/19/2013

เชียงใหม่ 1 วัน ซิลๆ

มาทำอะไรที่เชียงใหม่ ตอนที่ 6 "ล่องแม่ปิง"

โดย toyubom

ความเดิมตอนที่แล้ว http://www.oknation.net/blog/toyubom/2009/03/06/entry-5
ตื่นมาร่วม โมงครึ่ง หลังจากนอนหลับด้วยฤทธิ์ของเบียร์ไฮเนเก้น กระป๋อง ก็ต้องตื่นจากภวังค์จากเสียงของวิทยุสื่อสารแม่บ้านข้างนอกห้อง "ห้อง 302 เช็คเอ้าท์จ้าวววววววววว"  "จ้าววววววววววววว" บนชั้นนั้น มีประมาณ 20 ห้อง ก็ 20 จ้าวววววววววววววว  เลยนอนไม่หลับกันพอดี หลังจากตื่นจากภวังค์ก็ลงไปกินอาหารเช้าฟรีฟรีเสริมพลัง อาหารเน่าได้ใจตามที่ มีคนมาเม้นท์ไว้ในพันทิพย์จริง ๆ  ด้วย แต่จะสำคัญอะไรเล่า เพราะราคา 80 บาท (อ่อ แอบเห็นราคาจริง ๆ 600 บาทรวมอาหารเช้า  ถ้าถามว่าราคานี้โอเคมั้ย แบบราคาเต็ม ๆ นะครับ ต้องตอบว่า สุดสุด  แต่ผมก็ชอบบ้านอ้ายหล้า

เอาหล่ะพออิ่มท้องกับอาหารเช้าแบบไทย ๆ ไม่มี ABF ABS FBT TBF แต่อย่างใด ก็พาตัวเองขึ้นมาออนไลน์แบบฟรีฟรี ไม่ต้องเสียตัง อันนี้ไม่ทราบว่าเป็นโปรโมชั่นฟรีวายฟายหรืออย่างไร หรือลืมล็อกก็ไม่ทราบเลยออนมันทั้งวันทั้งคืน ในขณะที่อยู่โรงแรม

ผมก็อาบน้ำแต่งตัวเก็บเสื้อผ้า หอบผ้าหอบผ่อน เช็คเอ้าท์ และทำการฝากกระเป๋าไว้กับโรงแรม ตอนแรกกะว่าจะไปสวนสัตว์เชียงใหม่ ไปดูช่วง ๆ  และหลินฮุ่ย มีอะไรกัน (หรือทำลูกนั่นเอง) และก็จะไปดูอควาเรี่ยม  แต่ก็ต้องมาสะดุดกับโบชัวร์ท่องเที่ยวอันนึง อันนี้แหล่ะ ละกัน ไม่ไปมันแล้วสวนสัตว์ ที่ไหนไหนในโลกก็มี แต่ที่ผมกำลังจะไปเนี่ย ไม่มีที่อื่นแน่นอน นอกจากเจียงใหม่จ้าววววววววว  จัดการถามโรงแรมสนนราคาหัวละ 500 บาท   ผมเลยเดินคอตกหยิบโทรศัพท์เดินออกมาจากโรงแรมและโทรไปตามนามบัตรได้ความว่า "คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า" "ไม่ใช่มั้งครับ คงจะเป็นคนนามิเบียที่พูดภาษาไทยได้" เค้าเลยบอกอ่ะไม่เป็นไรเป็นนามิเบียก็ได้ แต่พูดภาษาไทยชัดแจ๋วเลยให้ 300 บาทละกัน ไทยเที่ยวไทย พอดีพี่เบิร์ดอนุมัติโปรนี้ (อยากรู้จริงๆ  พี่เบิร์ดชอบเที่ยวเมืองไทยมะ)
ผมเริ่มต้นการเดินทางของผมด้วยกินครับ หาไรรองท้องก่อนดีกว่า และแน่นอนครับ ร้านที่ผมไว้ใจและวางใจนั่นก็คือ "โจ๊กสมเพชร" วี๊ดดวี้วววว สิ่งที่คู่ควรเชียงใหม่  แต่วันนี้ผมจะลิ้มลองอย่างอื่นที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ของโจ๊กสมเพชร  นั่นคือ กระเพราไก่ทอดกรอบ และขนมจีบปูสุดอลังการ และเก็กฮวยเย็น เช่นเคย  สนนราคามื้อนี้ที่ 90 บาท ผมให้แบ้งค์ร้อยไปครับ น้อง ๆ ดูเหมือนว่านั่นคือเงิน 90 บาทพอดีเป๊ะ ไม่มีทีท่าว่าจะทอน ผมก็แก้เขินด้วยการบิดขี้เกียจและเดินจากไป  (แล้วสรุปว่าผมต้องเขินแทนน้อง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย)
ตอนนี้เวลาเที่ยงตรงเป๊ะ ตะวันตรงหัวสุดสุด ฮ้อนแต้เน่อ  ผมมีเวลาอีก 1 ชั่วโมงที่จะถึงเวลานัดหมายการท่องเที่ยวในวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของผม ด้วยการเดินเข้าซอยตรงร้านโจ๊กสมเพชรนั่นแหล่ะ ไปที่วัดเชียงมั่น วัดที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองไทย
ผมเดินกลับออกมาหน้าร้านโจ๊กสมเพชร ซึ่งก็ไม่มีที่ท่าว่าจะทอนเงิน 10 บาทของผม ซักกะนิส แหมมมม แอบงอนนะเนี่ย จะเก็บเงินไปนั่งรถแดงอ่ะครับเห็นใจหน่อย เพราะไปไหนมาไหนก็ซาวบาททททททท

ผมเรียกรถแดงเพื่อจะให้ไปส่งที่ท่าเรือวัดศรีโขง ท่านพี่รถแดงพร้อมภรรยาเรียกดับเบิ้ลซาวบาทจ้าววววววว หรือสี่สิบนั่นเอง ผมบอกซาวบาทบ่ได้เหรอคับ  ภรรยาส่ายหัวแร้วบอกว่า ดับเบิ้ลซาวบาทแหล่ะจ้าว เดี๊ยวพาไปส่งถึงที่ ผมบอกไม่เป็นไรจ้าวววววววว  พี่คนขับสามีชู 3 นิ้ว เป็นอันตกลง

แล้วสรุปเค้าเป็นสามีภรรยากันป่ะเนี่ย ผมเอาเขามานินทาอีก
ผมก็มาถึงท่าเรือวัดศรีโขง ซึ่งมันอยู่ตรงข้ามวัดศรีโขงพอดิบพอดี และนั่งรอบริเวณนั้น ซึ่งมีประมาณเป็นออฟฟิศอยู่แต่ไร้ผู้คน เพราะรอบต่อไป 13.00 น. นั่งรอซักพักเรือรอบก่อนหน้านี้ก็เข้ามาเทียบท่า
ที่ผมท่องเที่ยววันนี้ก็คือ ล่องแม่น้ำปิงด้วยเรือหางแมงป่องในราคา 300 บาท
เรือที่ล่องแม่น้ำปิงมีหลากหลายบริษัท ตั้งแต่บริษัททัวร์ เรือของโรงแรมตามริมน้ำ ร้านอาหาร และนี่ครับเรือหางแมงป่อง เป็นอีกเจ้าที่แตกต่างไม่เหมือนใคร พร้อมด้วยไกด์อธิบายถึงความสำคัญและสถานที่ต่าง  ๆของริมน้ำปิง น้องไกด์คนนี้ทำงานได้ 3 วันครับ ได้ความว่าเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกภาษาอังกฤษ ไม่น่าหล่ะสำเนียงสุดยอด ผมเลยบอกน้องเค้าว่า อังกฤษโลด ไม่ต้องแคร์สื่อ ผมฟังได้ ไม่รู้เรื่องจะถาม เพราะทริปนี้มีสองสาวซึ่งทราบมาว่ามาจากบริสเบน ออสเตรเลีย
การล่องน้ำปิงในคราวนี้ มันเป็นครั้งแรกของผมในชีวิตครับ เพราะแต่ก่อนเมื่อมาเชียงใหม่จะมาเฉพาะเทศกาลสงกรานต์และมาทำงานซึ่งก็สัมผัสเชียงใหม่แค่เพียงผิวเผิน รู้แต่ว่าเชียงใหม่มีประตูท่าแพ และคูเมือง และแม่น้ำปิง และวอร์มอัพ แต่บอกแล้วครับการมาเชียงใหม่ครั้งนี้ของผมจะไปในที่ที่ไม่ค่อยได้เห็นกัน หรือเห็นอันนี้ไม่ทราบครับ เอาเป็นว่าไม่เคยเห็นละกันนะครับ ขอร้อง

ชาวเชียงใหม่ปล่อยน้ำลงแม่น้ำด้วยความรับผิดชอบนะครับ แหม ก็ต้องบำบัดซะก่อน ก่อนที่จะปล่อยลงน้ำ
น้องไกด์ได้อธิบายข้อมูลต่าง ๆ  โดยมีภาพเชียงใหม่ในอดีตประกอบว่าตรงนี้ในอดีตเคยเป็นอะไร มีความสำคัญอย่างไรบ้าง
เชียงใหม่มีร้านอาหาร และบาร์ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด และแน่นอนโรงแรมบูทิค ฮิป คูล เกิดขึ้นมากมายเหมือนกัน ผมผ่านร้านอาหารหรือบาร์ชื่อว่า "The Deck" (ถ้าจำไม่ผิด) แทรกตัวขึ้นที่ริมปิง คนเชียงใหม่จะชอบหรือเปล่า ตอนกลางคืนจะหนวกหูหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบได้เพราะไม่ได้มาใช้บริการ  แต่ทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น และชาวเชียงใหม่ก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เชียงใหม่มีสะพานข้ามแม่น้ำปิงหลากหลายสะพาน หลากหลายสไตล์ ให้ผู้คนทั้งสองฝั้งปิงข้ามไปมาหาสู่กัน ทันใดนั้นผมก็เหลือไปเห็น ก็คงใช้คำว่าเหลือบไม่ได้นัก เพราะน้องไกด์บอกว่านี่คือโบสถ์แห่งแรกของเชียงใหม่ โดยเหล่ามิสชันนารี ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน
เห็นเหมือนบ้านที่อยู่ตรงกลางรูปหรือเปล่าครับ ที่หลังคาจะจดพื้นอยุ่แล้วครับ  นั่นแหล่ะน้องที่เป็นไกด์บอกว่าเป็นโรงแรมแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่
รูปที่น้องไกด์โชว์คือการเล่นสงกรานต์ในอดีตในแม่น้ำปิง ช่วงสงกรานต์น้ำจะแห้งพอลงไปเล่นได้ การสาดน้ำกันนั่นคือการชะล้างความไม่ดีความโชคไม่ดีออกจากตัวเราไป และรับแต่สิ่งดีดีเข้ามาใน "เทศกาลปี๋ใหม่เมือง"
บ้านเรือนไทยเก่าแก่และใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ริมปิง พื้นที่โดยรบถูกเกลี่ยเหมือนกำลังจะมีการก่อสร้าง โดยคงบ้านเรือนไทยอันใหญ่โตนี้ตั้งอยู่  ถูกอธิบายว่า คุณเจริญ (เจ้าของเบียร์ช้าง) ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ และกำลังจะสร้างเป็นบูทิค โฮเต็ล
ถัดไปไม่ไกลนักมีโรงแรมราคาแพงระยับ 1000 US ต่อคืน ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของต้นไม้และริมปิง นั่นคือโรงแรมเจดี chedi หรือเจดีย์
ร้านอาหารแดงแปร๊ด ท่ามกลางต้นไม้และริมปิง
ผ่านวัดริมน้ำปิง ที่มีนกพิราบเต็มไปหมดมารอรับอาหารจากผู้ใจบุญ แทนที่จะเป็นปลาสวายเหมือนวัดในกรุงเทพ
ต้นไม่ใหญ่น้อยขึ้นกันริมปิง ทำให้แม่ปิงยิ่งร่มรื่นเข้าไปใหญ่
จากการบอกเล่าของไกด์บอกว่าสิ่งก่อสร้างสวยงามนี้เคยเป็นพระราชวังของกษัตริย์ที่ปกครองเชียงใหม่มาก่อน เล็ก ๆ  แต่สวยงาม ตั้งเด่นเป็นสง่าริมแม่น้ำปิง
และเรือหางแมงป่องหนึ่งเดียวในไทยก็กลับลำ ณ ตรงพระราชวังเก่าตรงนี้ พร้อมกับพาชมทิศทัศน์สองข้างทางต่อไป แต่ไม่ใช่วิวเดิมและจะหมดข้อมูลนะครับ ยังมีข้อมูลชุดใหม่ให้ฟังกันอีก
เรือลอดผ่านสะพานที่สำคัญของเชียงใหม่นามว่า...........(ไม่ทราบครับลืมแล้ว กำ) และร้านแหนมเนืองอันโด่งดังจากดินแดนอีสานที่มาผงาดในถิ่นล้านนา และผมก็เสร็จมันไปแล้ว
ข้อมูลที่ผมไม่เคยทราบมาก่อนในชีวิต หรือเคยทราบแต่ไม่เคยใส่ใจในวิถีความเป็นไปของไทย  นั่นคือเจ้าดารารัศมี ที่คนเชียงใหม่นับถือ เคยตกอยู่ในห้วงเวลาที่จะต้องเลือกระหว่าง ตัวเลือกที่  1  เกี่ยวข้องกับประเทศอังกฤษ และตัวเลือกที่ 2 ปกป้องเชียงใหม่ (ข้อมูลลึก ๆ ไปหากันเอานะครับ หรือ personal message มาก็ได้ครับ ไม่แน่ใจว่าออกสื่อได้หรือเปล่า)
ผมมาสะดุดตาที่ร้านอาหารชื่อเด็ด ว่า "ถึงพริกถึงขิง" คงจะไม่ขายโจ๊กแน่แน่ เพราะโจ๊กต้อง "โจ๊กสมเพชร" หรืออาจจะขายโจ๊กแล้วใครจะทำไม เพราะร้านถึงพริกถึงขิงไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว   พอผ่านร้านถึงพริกถึงขิงที่ไม่ขายโจ๊ก ก็มาแวะที่ รีสอร์ทน่ารัก  ๆ  ไม่รู้ฮิป หรือเปล่า หรือบูทิคหรือเปล่า แต่เจ้าของรีสอร์ที่นี้ก็คือเจ้าของเรือหางแมงป่องนั่นเองครับ เจ้าของเป็นชายชาวเชียงใหม่ลูกครึ่งจีน มารอต้อนรับด้วยไมตรียิ้มแย้มแจ่มใส และพาผมเดินแยกตัวมาจาก 2 สาว ชาวบริสเบน ออสเตรเลีย เพื่ออธิบายถึงเรื่องราวต่าง ๆ  ของแก ซึ่งน่าสนใจมาก
รีสอร์ทมีต้นไม้ ซึ่งส่วนใหญ่เน้นไปทางสมุนไพรซะมากกว่า
คุณลุงเคยพาเด็กชาวเขาและเด็กสลัมมาเข้าข่ายที่นี่ด้วยครับ และสอนให้เด็กปลูกข้าว และยังได้อธิบายการปลูกข้าวไปจนถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ข้าว 1 ต้นมีเมล็ดประมาณ 30 เมล็ด แต่ที่ใช้ได้มี 10 เมล็ดเท่านั้นนอกนั้นก็ลีบจนไม่สามารถใช้ได้ เพราะฉะนั้นข้าว 1 ช้อนมีกี่เมล็ดจะต้องปลูกมากเท่าไหร่ที่จะได้ข้าว 1 ช้อน เพราะฉะนั้นจะต้องกินข้าวให้หมดจานเพราะมันแสนจำลำบากขนาดไหนที่ปลูกข้าวเพื่อให้คนกินได้ 1 ช้อน
ที่นี่มีบ้านพักทั้งหมด 5 หลังจัดไว้ให้กับนักท่องเที่ยว ระเบียงหน้าบ้านก็ตกแต่งเป็นแบบเรือหางแมงปล่อง มีอยู่หลังนึงครับเป็นบ้านที่สร้างจากดินในลุ่มน้ำปิง ฤดูหนาวบ้านหลังนี้จะให้ความอบอุ่นแก่ผู้ที่มาพัก  และในฤดูร้อนเช่นนี้ผมเห็นและรู้สึกได้ถึงความเย็นทันทีที่เหยีบบเข้าไปในบ้านหลังนี้  ราคาบ้านพักหลังนี้อยู่ที่ 2500 บาทสำหรับ 4 ท่านรวมอาหารเช้า  แต่ถ้าพัก 2 ท่านก็ 1800 บาท ราคาไม่สำคัญเท่าความตั้งใจที่มอบสิ่งดีดีให้กับผู้ที่มาพัก ด้วยเรื่องราวในชีวิตต่าง ๆ ของคุณลุงท่านนี้
คุณลุงผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ และรวมถึงเจ้าของเรือหางแมงป่อง ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความเจ็บปวด จากการที่แม่น้ำปิงเอ่อท่วมเมืองเชียงใหม่ หลายต่อหลายครั้ง คุณลุงก็ยืนหยัดต่อสู้ขึ้นมา พอคุณลุงพูดถึงท่อนนี้ก็หยิบตาชั่งพร้อมกับหัวมัน  คุณลุงเอาหัวมันลงไปวางไว้บนตาช่างและก็บอกว่า ช่างหัวมันเถอะ เท่านั้นแหล่ะคุณลุงก็กินอิ่มนอนหลับและต่อสู้กับชีวิตต่อไป (ผมถึงกับหัวเราะออกมาในความช่างคิดและอธิบายศัพท์ไทยไทยได้น่าสนใจยิ่งนัก)

รูปด้านล่างเป็นจั๊กจั่นลอกคราบเรียบร้อยแล้ว คุณลุงบอกว่าพอจั๊กจั่นลอกคราบตัวมันจะใหญ่ขึ้นอีก เป็นเรื่องที่น่าแปลกยิ่ง และเป็นความรู้ใหม่สำหรับผม
มาพักเหนื่อยที่รีสอร์ทแห่งนี้ก็บริการด้วยข้าวเหนียวมะม่วง และน้ำพั้นช์หวานกำลังดี ชื่นใจมาก  ๆ พร้อมกับนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณลุงเจ้าของกันไปเรื่อย ๆ  คุณลุงก็ถามว่าผมทราบเรือหางแมงป่องของแกได้ยังไง ทำงานที่ไหน และมาเที่ยวเชียงใหม่อยากเห็นอะไร
รอบ ๆ บริเวณรีสอร์ท ค่อนข้างร่มรื่น และเงียบดีครับ
พอร่ำลาคุณลุงผู้ต่อสู้ก็ผ่านร้านอาหารริมน้ำปิง ซึ่งตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ ใช้ชื่อว่า "บางแสน" เอาชื่อนี้กันไปเลยครับพี่น้อง ร้านบางแสน  เมื่อผ่านร้านอาหารชื่อ "บางแสน" ที่ริมแม่น้ำปิงจังหวัดเชียงใหม่ ก็มาส่งที่ท่าเรือตอนลงเรือครั้งแรกครับ  และรถของเรือก็มาส่งผมที่ใกล้ ๆ วัดโลกโมฬี ที่หมายถัดไปของผม
วัดโลกโมฬี เป็นวัดที่ผมนั่งรถแดงผ่านบ่อยมาก และสวยมาก จนต้องมาสักครั้งนึง และวันนี้ก็สำเร็จ และเป็นวันสุดท้ายด้วยไม่มาก็ต้องรอครั้งหน้าซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่อีก
ทางเข้าเล็กที่ผมชอบเหลือเกิน  ทำไมไม่ไปเข้าทางเข้าใหญ่ ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกัน
หน้าโบสถ์ไม้อันงดงามก็มีต้นไม้ทองอยู่ด้านซ้ายและดอกไม้เงินอยู่ด้านขวา
รูปใหญ่บ้างเล็กบ้างอย่าไปสนใจมันนะครับ มันก็แค่เป็นสิ่งสมมุติ  โลกนี้ไม่มีอะไรอนิจจัง แหมแหมแหม เข้าวัดเข้าวา สวดมนต์หน่อยเดียวธรรมมะธรรมโมซะแล้ว 

ภายในโบสถ์มีฝรั่งนั่งสมาธิ และอ่านหนังสือกันพอสมควร มันเงียบ มันเย็นมากมากครับ ผมยังนั่งอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง
ข้าง ๆ โบสถ์ไม้มีวิหารทรงประหลาด แต่สวยดีครับ เคยบอกไปหลายครั้งแล้ว เมื่อเราเห็นสิ่งที่ประหลาดในสายตาเราครั้งแรก ครั้งต่อไปมันก็ไม่ประหลาดแล้ว
ภายในวิหารรูปทรงประหลาด บรรจุไปด้วยพระพุทธรูปมากมาย
เจดีย์ด้านหลังโบสถ์ไม้
ด้านหลังเป็นพิพิธภัณฑ์ครับ มีเจ้าหน้าที่กำลังประดิษฐ์งานศิลปะกันอย่างขมักเขม้น
งานศิลปะมากมายหลายชิ้น ล้วนโดนรังสรรค์จากช่างฝีมือทั้งรุ่นน้อย และรุ่นใหญ่จำนวน 5 คน
ด้านข้างวัดโลกโมฬีหรือด้านหลังปั๊ม ปตท. ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นปั๊มเจ็ท มีอาคารทรงไทยสวยงามตั้งอยุ่
กุฎิสำหรับพระภิกษุ บรรยากาศเหมือนกับบังกาโลริมทะเลเกาะช้าง (บาปกรรมมั้ยเนี่ยเรา)
โบสถ์สวยงามอีกมุมนึงที่ผมรู้สึกว่ามันสวยงามจับใจ ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ผมขอปิดตอนที่ 6 ด้วยภาพวัดตรงข้ามวัดโลกโมฬี แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นวัดอะไร  และติดตามตอนจบได้ที่นี่เร็ว ๆ นี้

No comments: