11/19/2012

AutoGenic สัญจรที่ เชียงใหม่ 2 ธันวาคม 2555


AutoGenic สัญจร เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น.

สถานที่ โรงแรมบีพี เชียงใหม่ ซิตี้ (ใกล้วัดพระสิงห์)

คุณเคยกลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร์จในชีวิตมั้ย?
คุณจิตนาการภาพความสำเร็จของคุณไม่ออกใช่รึเปล่า?
คุณกำลังลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสำเร็จเหมือนคนอื่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มั้ย?
คุณกำลังรู้สึกว่าคุณไม่เก่งเหมือนคนอื่น...
คุณคิดว่าการหาคนที่คิดเหมือนคุณ มีเป้าหมายใหญ่เหมือนคุณมันช่างยากเย็น...

ขจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปฃะด้วย Autogenic Training

นี่คือคำตอบ...ของความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

"สุดยอดยอดคอร์สการโปรแกรมจิตแบบที่คนสำเร็จทุกคนรู้ แต่ไม่เคยบอก"

อบรม วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 09.00-23.00 น
รวมค่าอาหาร 2 มื้อ คอฟฟี่เบรก ๅ เบรก

คอร์สมูลค่ามากกว่า 5000 บาท ในราคาพิเศษที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ในราคาเพียงท่านละ 1000 บาท เท่านั้น

ปล สำหรับเด็กตั้งแต่ 12-15 ปี ราคาพิเศษ 800 บาท/ท่าน

ด่วนจำนวนจำกัดแค่ 100 ท่านแรกเท่านั้น

โทร คุณพิมพ์สิริ 083 018 9430  คุณธนพนธ์ 090 798 3374


AUTOGENIC TRAINING
โดย..รศ.ดร.นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล  

AUTOGENIC TRAINING เป็นศาสตร์ซึ่งประยุกต์มาจากหลักการสะกดจิตซึ่ง Dr.Schultz ได้พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 และเป็นที่นิยมแพร่หลายในยุโรปมากกว่า 50 ปี ในปัจจุบันได้มีการนำมาดัดแปลงเพื่อทำให้ประสิทธิภาพในการนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้ดีขึ้น จากการประเมินผลและการศึกษาวิจัยของสถาบันเพื่อการพัฒนาจิตและกายพบว่า AUTOGENIC

TRAINING เมื่อใช้ควบคู่หลักการสมาธิและการพัฒนาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงจะมีประโยชน์ในกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ

1. ทำให้สมาธิและความจำดีขึ้น
2. เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
4. ช่วยทำให้คุณภาพชีวิตในภาพรวมดีขึ้น
5. ช่วยระงับอารมณ์เศร้าโศกเสียใจจากการสูญเสียสิ่งที่รัก
6. เพิ่มแรงจูงใจและความกระตือรือร้น
7. แก้ปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ
8. ช่วยบรรเทาอาการปวด
9. ขจัดความวิตกกังวลและความรู้สึกซึมเศร้า
10. บรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน และอาการปวดเรื้อรังต่างๆ
11. บรรเทาอาการภูมิแพ้
12. ขจัดนิสัยที่ไม่ดีออกไป
13. เลิกบุหรี่
14. ควบคุมน้ำหนักตัว
15. เป็นคนอารมณ์ดีอยู่เสมอ สดชื่นแจ่มใส และสามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลให้กับจิตใต้สำนึกได้ด้วยตนเอง

การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ AUTOGENIC TRAINING
      ในการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ AUTOGENIC TRAINING ได้มีการคิดขบวนการโดยหลายขบวนการดังต่อไปนี้

1. การศึกษาคลื่นสมอง และ IMAGING TECHNIQUES
     การตรวจวัดคลื่นสมองหรือที่เรียกว่า EEG (Electroencephalogram) ได้มีการนำมาใช้วัดการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่จิตอยู่ในภวังค์ (trance) และถูกสะกดจิต (hypnosis) หลักของ EEG เครื่องวัดความแตกต่างในศักยภาพของกระแสไฟฟ้า (potential differences) ในบริเวณหนังศีรษะซึ่งเกิดจากการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้าในสมอง โดยใช้ช่วงอิเล็คโทรนิคในบริเวณหนังศีรษะ และสามารใช้บันทึกสภาวะทางจิตใจได้ว่าอยู่ในภาวะตื่นตัวหรือหลับ และกำหนดช่วงความถี่ของคลื่นตามอักษรกรีกเป็น alpha, beta, delta และ theta ในภาวะที่จิตอยู่ในภวังค์หรือถูกคลื่นสมองจะอยู่ในช่วง alpha waves หรือ theta waves ซึ่งจะบ่งบอกถึงภาวะที่ผ่อนคลายมากกว่าในช่วงของการนอนหลับปกติ กล้ามเนื้อจะมีการผ่อนคลายอย่างเต็มที่ และการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติจะมีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติกและพาราซิมพาเทติกจะทำงานกันอย่างสมดุลย์

     ในระยะหลังได้มีการนำเอาเทคนิค MAGNETIC RESONANCE IMAGING (MRI) และ POSITRON EMISSION TOMOGRAPHY (PET) scans มาใช้ในการวัดการเผาผลาญพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของเซลล์สมอง ผลการวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในช่วงที่จิตอยู่ในภวังค์จะมีการลดการทำงานของสมองซีกซ้ายในขณะที่การทำงานของสมองซีกขวาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งก็ตรงกับข้อมูลที่มีการเสนอแนะว่าการทำงานของจิตสำนึกเกี่ยวกับสมองซีกซ้าย
และจิตใต้สำนึกเกี่ยวกับสมองซีกขวา ดังนั้นการที่จะสื่อกับจิตใต้สำนึกต้องกระทำในขณะที่จิตสำนึกทำงานน้อยลงก่อน นอกจากนั้นยังพบว่าสมองส่วน LIMBIC SYSTEM ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์จะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้นในภาวะการสะกดจิต และเป็นข้อยืนยันว่าจะทำให้เข้าใจถึงสภาวะทางอารมณ์ได้อย่างชัดเจนขึ้นเมื่อจิตอยู่ในภวังค์ สิ่งที่น่าสนใจคือการทำงานของสมองในหลายช่วงไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการมองเห็น การได้ยิน และการวาดจินตนาการจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

2. การศึกษาด้าน PSYCHONEURO IMMUNOLOGY
     ในการศึกษาการทำงานของสมองและระบบภูมิคุ้มกันโรคพบว่า การทำ autogenic training จะมีการกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T cells มีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรค และเซลล์มะเร็งมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลต่อ hypothalamus ต่อมใต้สมองและการทำงานของต่อมไร้ท่อชนิดต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งจะเป็นผลให้ประสิทธิภาพในด้านสุขภาพมากมายหลายประการ

3. การศึกษาด้าน ENERGY MEDICINE
     ENERGY MEDICINE เป็นการศึกษาวิจัยที่ว่าด้วยปรากฎการณ์พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่จีนเรียกว่าชี่ และการแพทย์แผนไทยและอินเดียเรียกว่าพลังปราณ ซึ่งพลังดังกล่าวเกิดจากการสั่นสะเทือนของอิเล็คตรอน รอบนิวเคลียร์ของอะตอม ในปัจจุบันเทคนิคภาพถ่ายออร่า KERLIAN PHOTOGRAPHY ทำให้สามารถถ่ายภาพออร่าของมนุษย์ได้ และเมื่อเปรียบเทียบก่อน และหลังการฝึก autogenic training จะพบว่าพลังออร่าเรียงเป็นระเบียบและมีพลังงานมากขึ้น

ขั้นตอนในการฝึก AUTOGENIC TRAINING
     การฝึก AUTOGENIC TRAINING จะมีขั้นตอนตามแนวทางการสะกดจิตเพียงแต่ผู้ฝึกจะเป็นผู้กำหนดให้ให้เกิดสภาวะต่าง ๆ ด้วยตนเอง และไม่ต้องให้ผู้อื่นมาทำหน้าที่สะกดจิตตน

1. การชักนำ (INDUCTION)
     ขั้นตอนนี้เป็นขบวนการทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย โดย RELAXATION TECHNIQUES อาทิเช่น การฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี การผ่อนคลายกล้ามเนื้อเป็นขั้นตอน (PROGRESSIVE MUSCLE RELAXATION)

2. ทำให้จิตอยู่ในภวังค์ (Trance)
     ในขั้นตอนนี้จะเป็นช่วงที่สมองอยู่ในช่วงคลื่น ALPHA WAVE และจะอาศัยขบวนการวาดจินตนาการ (VISUALIZATION) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวาดภาพการลงจากที่สูง เช่น จาก ลิฟท์ขั้นที่ 20 และ ค่อย ๆ ลงต่อจนถึงชั้นล่างสุด ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้จิตอยู่ในภวังค์ได้ง่าย

3. การป้อนโปรแกรมจิตใต้สำนึก (POST-HYPNOTIC SUGGESTIONS)
     ในขึ้นตอนนี้ผู้ฝึกจะสามารถป้อนโปรแกรมให้จิตใต้สำนึกทำงาน เพื่อพัฒนาตนเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งหากกระทำได้อย่างเหมาะสมจะสามารถพัฒนาตนเองได้ภายในช่วงระยะเวลา 21-28 วัน

4. การยุติโปรแกรม (TERMINATION)
     เมื่อจะเลิกโปรแกรม AUTOGENIC TRAINING จะเริ่มต้นด้วยการนับเลขย้อนกลับ โดยนับจาก 1 – 10 และทำให้ร่างกายทุกส่วนตื่นตัว ซึ่งเมื่อสิ้นสุดโปรแกรมจะมีความรู้สึกสดชื่นแข็งแรงโดยทันที
คำถามเกี่ยวกับ AUTOGENIC TRAINING
     เนื่องจากขบวนการ AUTOGENIC TRAINING เป็นขบวนการสะกดจิตตนเองจึงมักจะมีคำถามบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งต่อไปนี้จะได้รวบรวมคำถามที่วิทยากรของสถาบันฯ มักจะถูกถามอยู่เสมอ

คำถามที่ 1 การฝึก AUTOGENIC TRAINING มีอันตรายหรือไม่ ?

     การสะกดจิตตนเองโดยอาศัยวิธี AUTOGENIC TRAINING เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูงมากขึ้นทั้งนี้เพราะจะใช้กลไกที่ปกติร่างกายจะมีเกิดขึ้นอยู่แล้ว ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าในการที่จะฝึกได้ผล สมองจะต้องอยู่ภายใต้การทำงานในระดับคลื่นอัลฟ่า ซึ่งภาวะนี้จะเกิดขึ้นเป็นปกติเมื่อเรานอนหลับทุกวันและในยามที่ฝันกลางวัน ในขบวนการฝึกในหลักสูตรกลยุทธสู่ความสุข ความสำเร็จ ทางสถาบันฯ ยังได้ใช้เครื่อง MIND MONITOR คอยประเมินว่า ผู้รับการอบรมจะเกิด
สัมฤทธิ์ในการฝึกหรือไม่และวิทยากรจะคอยให้คำแนะนำเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมทุกคนปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ในภาวะของการสะกดจิตตนเองจะไม่มีผู้ใดที่ประสงค์จะกระทำในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการนอกจากนี้ขบวนการ AUTOGENIC TRAINING ยังเป็นศาสตร์ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายและมีผู้เคยผ่านการอบรมในลักษณะเช่นนี้มาแล้วหลายล้านคนทั่วโลก จึงเป็นการยืนยันถึงความปลอดภัยได้ดีเป็นอย่างยิ่ง

คำถามที่ 2 การฝึก AUTOGENIC TRAINING ด้วยตนเองจะมีประสิทธิภาพเหมือนกับถูกสะกดจิตโดยบุคคลอื่นหรือไม่ ?

     การฝึก AUTOGENIC TRAINING จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการถูกสะกดจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ ถึงแม้ว่าการถูกสะกดจิตโดยผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงในบางกรณีอาจจะได้ผลดีกว่า แต่พึงระลึกไว้ด้วยว่าการปล่อยให้ถูกสะกดจิตโดยบุคคลอื่นที่ไม่มีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงอาจก่อให้เกิดอันตรายและผลข้างเคียงได้ นอกจากนี้การฝึก
AUTOGENIC TRAINING ด้วยตนเองยังสามารถฝึกปฏิบัติได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น และยังไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่นักวิชาชีพสะกดจิตในบางครั้ง

คำถามที่ 3 การฝึก AUTOGENIC TRAINING เป็นประจำจะทำให้เป็นคนที่ถูกชักจูงได้ง่ายจริงหรือไม่ ?

     เนื่องจากการฝึก AUTOGENIC TRAINING เป็นการตอบสนองต่อการชักนำของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตนเองที่จะเรียนรู้การควบคุมตนเองให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องในขณะเดียวกันยังจะช่วยให้มีแรงต้านที่จะถูกผู้อื่นชักจูงไปในทิศทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านการอบรมหลักสูตรนี้แล้วผู้เข้ารับการอบรมควรจะต้องมีความสนใจและรักที่จะฝึกต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอวันละอย่างน้อย 2-3 ครั้ง โดยใช้เวลาเพียงครั้งละประมาณ 5 นาทีเท่านั้น

คำถามที่ 4 ในช่วงฝึก AUTOGENIC TRAINING จะหมดสติหรือไม่ ?

     ในช่วงฝึกปฏิบัติแม้ว่าบางคนดูเสมือนว่าจะหลับไป แต่อันที่จริงแล้วยังมีสำนึกรับรู้อยู่ และจิตใต้สำนึกยังทำงานได้โดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับเวลาที่เราขับรถจิตใต้สำนึกจะคอยสั่งการให้เราถือพวงมาลัยเหยียบคันเร่งหรือเหยียบเบรคตามเส้นทางของถนนอย่างเหมาะสม

คำถามที่ 5 จะมีโอกาสไหมที่ภายหลังการเสร็จสิ้นการฝึกแล้วจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ ?

     เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ใดถูกสะกดจิตให้หลับต่อเนื่องไปโดยตลอด เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะเข้าสู่ภวังค์หรือทำให้สมองอยู่ในระดับ อัลฟ่า แต่เป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะปล่อยให้ภาวะจิตกลับมาสู่ระดับปกติ อย่างมากที่สุดในบางคนอาจจะทำให้เกิดภาวะที่สู่การนอนหลับปกติและในที่สุดก็จะตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับเช่นเดียวกัน

คำถามที่ 6 ผู้ที่ฝึก AUTOGENIC TRAINING จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ?

     จากประสบการณ์การฝึกอบรมของวิทยากรพบว่าทุกคนที่ผ่านการฝึกอบรม AUTOGENIC TRAINING จะสามารถสื่อกับจิตใต้สำนึกได้ ซึ่งเครื่องมือ MIND MONITOR จะช่วยในการประเมินว่าผู้เข้ารับการอบรมจะสามารถฝึกจิตได้ประสบความสำเร็จหรือไม่ โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่าทุกคนภายใต้การควบคุมของวิทยากรจะประสบความสำเร็จได้ เพียงแต่บางคนจะ
ได้ผลเร็วหรือช้าต่างกันเท่านั้น

คำถามที่ 7 การสะกดจิตตนเองและการฝึกสมาธิแตกต่างกันหรือไม่ ?

     มีความแตกต่างกันบ้างทั้งนี้เพราะการฝึกสมาธิคือ การทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแต่การสะกดจิตตนเองแบบ AUTOGENIC TRAINING จะส่งผลให้จิตใต้สำนึกมีภารกิจที่จะต้องกระทำ นอกจากนี้การตรวจคลื่นสมองในภาวะการสะกดจิตตนเองและการฝึกสมาธิ ที่สถาบันฯ ได้ ทำการศึกษาวิจัยปรากฎว่ามีความแตกต่างกันทั้งในรายละเอียดอย่างไรก็ตามในหลักสูตรนี้ผู้เข้ารับการอบรมยังได้ประโยชน์จากการฝึกสมาธิควบคู่ไปกับการฝึก AUTOGENIC TRAINING ด้วย

คำถามที่ 8 ในการที่ฝึก AUTOGENIC TRAINING จะกระทำได้เฉพาะผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้นหรือไม่ ?

ไม่จำเป็นทั้งนี้เพราะการประสบความสำเร็จในการสื่อกับจิตใต้สำนึกไม่มีความสัมพันธ์แต่ประการใดเกี่ยวกับระดับความเชื่อของบุคคลนั้นๆ ปรากฏว่ามีบุคคลจำนวนมากที่ฝึกได้สำเร็จอย่างง่ายดายทั้งๆ ที่ไม่มีความเชื่อถือในเรื่องการสะกดจิตเลยแม้แต่น้อย

คำถามที่ 9 
ต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหนจึงจะประสบความสำเร็จและได้ประโยชน์จากการฝึก AUTOGENIC TRAINING?

การฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญจะต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอ หากผู้เข้ารับการอบรมนำเทคนิคที่ได้รับการแนะนำไปฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะทำให้มีความชำนาญและจะใช้ระยะเวลาในแต่ละวันสั้นลงเรื่อยๆ โดยทั่วไปหากหวังผลที่จะเกิดขึ้นจากการฝึกมักจะประสบความสำเร็จชัดเจนภายในระยะเวลา 21 วัน เมื่อปฏิบัติต่อเนื่อง

คำถามที่ 10 หากมีปัญหาพร้อมๆ กันหลายเรื่องจะแก้ไขโดยการฝึก AUTOGENIC TRAININGได้ผลในทุกๆ เรื่องหรือไม่ ?

     ในกรณีที่มีปัญหาพร้อมกันหลายๆ เรื่องโดยทั่วไปควรทำการแก้ไขปัญหาทีละเรื่องโดยเริ่มจากปัญหาที่ง่ายที่สุดให้หมดไปทีละเรื่องจะได้ผลดีกว่า

การฝึก AUTOGENIC TRAINING
     ในการฝึก AUTOGENIC TRAINING ต้องอาศัยเทคนิคและขั้นตอน 5 ประการคือ การเตรียมการ การฝึกผ่อนคลาย การเข้าสู่ภวังค์ลึก การป้อนข้อมูลจิต และการยุติขบวนการฝึก ซึ่งจะได้กล่าวถึงในรายละเอียดต่อไป

1. การเตรียมการ
     ในการฝึก AUTOGENIC TRAINING ควรมีการวางแผน และวิจัยในการฝึกฝนอย่างที่สามารถจะกระทำได้อย่างต่อเนื่อง ควรเริ่มต้นโดยการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการปฏิบัติ ควรเลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดในแตล่ ะวันที่จะไม่ออ่ นเพลียมากเกินไป และควรมีความตื่นตัวพอสมควรในการฝึกปฏิบัติ หากช่วงเช้าเป็นเวลาที่สะดวก อาจจะเริ่มฝึกเมื่อตอนตื่นนอนใหม่ๆ ก่อนลุกจากที่นอน หรือหากเวลาก่อนนอนเหมาะสมอาจใช้เวลาสั้นเพื่อช่วยให้หลับสบายดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกเวลาที่ปราศจากการรบกวนจากบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อมภายนอกจะดีที่สุด ท่าที่ใช้ในการฝึกอาจเป็นท่านั่งหรือท่านอนในอิริยาบทที่สบายก็ได้ และหากมีเสียงรบกวนอาจใช้อุปกรณ์ปิดหู เพื่อให้เกิดความสงบมากขึ้นก็ได้ นอกจากนี้การใช้เสียงเพลงที่เหมาะสมและการให้กลิ่นหอมบางชนิดอาจมีผลช่วยทำให้การฝึกปฏิบัติง่ายขึ้น

2. การฝึกผ่อนคลาย

     เป็นขั้นตอนที่สองซึ่งต้องฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดการผ่อนคลายของทุกส่วนของร่างกายและขจัดความเครียดออกไป โดยปกติจะเริ่มฝึกโดยการฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ 2-3 ครั้ง ซึ่งในหลักสูตรนี้จะได้มีการฝึกฝนตามแนวหัตธาโยคะ (Hatha Yoga) ทุกครั้งที่หายใจออกให้วาดจินตนาการว่าความเครียดกำลังถูกขจัดออกไปทุกลมหายใจออกในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทุกส่วนของร่างกาย จะเริ่มจากบริเวณศีรษะลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปลายแขนและเท้า การเกร็งกำลังกล้ามเนื้อและคลายออกเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการผ่อนคลายได้เร็วขึ้น ขั้นตอนนี้มีความสำคัญในการฝึก AUTOGENIC TRAINING อย่างมากและบางคนอาจใช้เวลาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และความชำนาญ ซึ่งบางครั้งก็ใช้เวลานานถึงครึ่งชั่วโมง ในขณะที่บางคนใช้เวลาเพียง 2-3 วินาทีเท่านั้น

3. การเข้าสู่ภวังค์ลึก

     เป็นขบวนการที่จะเกิดขึ้นหลังจากการฝึกผ่อนคลายแล้ว จิตจะเข้าสู่ภวังค์ลึกพร้อมรับการป้อนข้อมูล ในการฝึกขึ้นตอนนี้การนับจำนวนเลขจากมากมาหาน้อยจะเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดการวาดจินตภาพที่ดีจะทำให้จิตเข้าสู่ภวังค์ได้ดีขึ้น การวาดภาพลงจากลิฟท์หรือลงจากบันไดจะเป็นเทคนิคที่ช่วยเข้าสู่ภวังค์ได้เร็ว ในหลักสูตรนี้วิทยากรจะได้แนะนำเทคนิคที่ช่วยชักนำให้ผู้เข้ารับการอบรมให้เข้าสู่ภวังค์ได้ลึกพอเพียง

4. การป้อนข้อมูลจิต

     เป็นขบวนการที่จะกระทำได้ต่อเมื่อสมองอยู่ในระดับอัลฟ่าและอยู่ในภวังค์ลึกพอที่จะป้อนข้อมูลให้จิตใต้สำนึกได้ง่าย ข้อความที่ใช้ควรเป็นข้อความที่กระทัดรัดเข้าใจได้ง่ายและจดจำได้ไม่ยากนัก ควรเป็นข้อความที่ระบุสรรพนามของตนเองและกำหนดให้อยู่ในปัจจุบันและไม่ใช้ข้อความในเชิงปฏิเสธ การเลือกข้อความมีความสำคัญที่จะทำให้เห็นผลเร็ว และถ้าหากใช้ข้อความ ดังกล่าวแล้วไม่เห็นผลควรจะเปลี่ยนมาใช้ความใหม่แทน ในหลักสูตรนี้วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจะให้คำปรึกษาในการหาข้อความที่เหมาะสมสำหรับปัญหาแต่ละบุคคล นอกจากนี้การใช้จินตภาพหรือการคิดเป็นภาพก็เป็นการป้อนข้อมูลให้ประทับลงสู่จิตใต้สำนึกได้อย่างแน่นแฟ้นและได้ผลดี เช่นกัน ซึ่งการป้อนข้อมูลในแต่ละครั้งควรมีทั้งข้อความและจินตภาพพร้อมกันจะได้ผลดีที่สุด

5. การยุติขบวนการฝึกจิต

ซึ่งควรจะทำเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการฝึก AUTOGENIC TRAINING ไม่ควรเพียงแต่จะเปิดตาและลุกไปเลย การยุติขบวนการฝึก เป็นขั้นตอนจะทำให้สามารถแยกแยะระดับของจิตที่อยู่ในภวังค์ กับภาวะที่มีสติสัมปชัญญะได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการปลุกให้ตื่นจากภวังค์นั่นเองในกรณีที่ฝึก AUTOGENIC TRAINING ก่อนนอนและหลับต่อจากนั้นก็ยังควรที่จะแยกให้ออกจากภาวะการสะกดจิตแล้วเข้าสู่ภาวะนอนหลับตามธรรมชาติ การทำเช่นนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการนอนหลับเป็นนิสัยเมื่อฝึก โดยทั่วไปเมื่อเสร็จสิ้นการฝึกควรกำหนดจิตว่าจะตื่นตัวเต็มที่เมื่อนับขึ้นจาก 1 ถึง 5 หรือ10 ยกเว้นในยามนอนอาจกำหนดให้เข้าสู่ภาวะการนอนหลับเป็นธรรมชาติเมื่อสิ้นสุดการนับก็ได้

ขั้นตอนการฝึก (AUTOGENIC TRAINING)
1. ฝึกปราณ
2. เกร็งกำลัง
3. ผ่อนคลาย
4. จินตนาการว่ากำลังลงจากที่สูงโดยนับถอยหลังจาก 20-0
5. ป้อนข้อมูลให้จิตใต้สำนึก (ในสิ่งที่ท่านปรารถนา)
6. ปลุกให้ตื่น
1-2-3 แขนขามีกำลังกลับคืนมา
4-5-6 ทั่วทั้งร่างกายมีกำลังกลับคืนมา
7-8-9 สมองสดชื่นแจ่มใส จิตใจเบิกบาน
เมื่อได้ยินเสียงนับ 10 ให้ตื่นลืมตาขึ้นสมอง สดชื่นแจ่มใส

กฎ 10 ประการ
สำหรับป้อนข้อมูลให้จิตใต้สำนึก

1. ใช้คำสั่งที่เป็นปัจจุบันกาล (ไม่ใช้คำว่า “จะ”)
2. ต้องเป็นคำสั่งเชิงบวก (ไม่ใช้คำว่า “ไม่”)
3. ควรป้อนข้อมูลให้กับจิตฯ ครั้งละ 1 ไม่เกิน 3 คำสั่ง
4. มีรายละเอียดบ้างตามสมควร มีความหมายตรงๆ
5. ใช้คำพูดง่ายๆ ไม่กำกวม
6. ใช้คำพูดที่ตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และประทับใจ
7. ข้อมูลที่ป้อนให้กับจิตใต้สำนึก ควรมีความเป็นไปได้
8. การป้อนข้อมูลต้องป้อนให้กับตนเอง และคนใกล้ชิดเท่านั้น
9. ข้อมูลที่ป้อนต้องประกอบด้วยสัมผัสทั้ง 5 (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) จะได้ผลเร็ว
10. ควรป้อนข้อมูลขณะที่ฝึก AUTOGENIC TRAINING ในขั้นตอนที่ 5 ขณะที่อยู่ในอัลฟา


No comments: